วิธีดูเนื้อคู่ในแบบที่เหมาะสม

สำหรับเรื่องของการที่คนสองคนที่เป็นเนื้อคู่และก้าวไปสู่การที่จะเป็นคู่ครองกันได้แบบที่ถูกต้องเหมาะสมนั้น พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ว่า

“…..ดูก่อนคฤหบดีและคฤหปตานีถ้าภรรยาและสามีทั้งสองหวังจะพบกันและกัน ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ (ชาติหน้า) ไซร้

ทั้งสองคนนั้นแลพึงเป็นผู้มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน ภรรยาและสามีทั้งสองนั้น ย่อมได้พบกันและกัน ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ…” (สมชีวสูตร จ. อํ. (๕๕)ตบ. ๒๑ : ๘๐-๘๑ ตท. ๒๑ : ๗๑ ตอ. G.S. II : ๗๐)

เรื่องนี้จึงพอจะอธิบายให้ทราบกันว่า การที่คนเราจะมาผูกพันกันได้ เป็นเนื้อคู่และได้มาคู่ครองกันนั้น ทั้งสองคนพึงที่จะมี

๑. ศรัทธาเสมอกัน ทำไมคนสองคนจึงต้องมีศรัทธาเสมอกัน หลายคนเริ่มสงสัย เรารู้กันดีว่าศรัทธาก็คือ ความเชื่อ เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ ความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผลซึ่งจริงๆ แล้วต้องใช้ปัญญาเป็นส่วนประกอบด้วย น่าจะเป็นการดีมากๆ ที่คนสองคนมาอยู่ด้วยกันได้ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีการมานั่งโต้เถียงกันไม่หยุดหย่อน เพียงเพื่อจะเอาชนะคะคาน เพียงต้องการให้ความเชื่อของตนนั้นชนะ ให้อีกฝ่ายหนึ่งยอมตน

พระพุทธองค์ได้ชี้ทางสว่างให้กับคนที่จะมาเป็นคู่ครองกันนั้น คนสองคนนั้นควรต้องมีความเชื่อเสมอกันและไปในทิศทางเดียวกัน เช่น เชื่อในหลักศาสนาเดียวกัน เชื่อว่าถ้าทำอย่างนั้น แล้วจะเกิดผลอย่างนี้ เชื่อว่าถ้าทำดีแล้วจะเจริญ เชื่อว่าเป็นคนดีแล้วไม่มีเสื่อม ทำบุญต้องได้บุญ ทำบาปก็ต้องได้บาป เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง เชื่อว่าคนเราทุกคนนั้นเสมอภาคกัน เชื่อว่าโลกนั้นหมุนรอบตัวเอง เป็นต้น เพราะถ้าไม่เชื่ออะไรที่เหมือนๆ กัน ก็จะอยู่ด้วยกันแบบไม่ชีวิตสงบสุขแน่นอน

สรุปง่ายๆ ว่าต้องมีความเชื่อในเรื่องเดียวกันไม่ขัดแย้งกันเอง อย่างน้อยก็เป็นเรื่องใหญ่ๆ ที่สำคัญของการมีชีวิตคู่ ยิ่งนอกจากมีความเชื่อแล้ว ในยุคปัจจุบันนี้ความชอบและรสนิยมถ้าตรงกันหรือเสมอกันก็เป็นส่วนที่ช่วยให้คนคู่นั้นมีความสุข

มีตัวอย่างเรื่องคู่หนึ่งมาเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องของนักเขียนชื่อดังคนญี่ปุ่นคนหนึ่ง ที่เขาและคนรักหรือคู่ครองนั้นมี ศรัทธาความเชื่อไปในทิศทางเดียวกัน และเกิดผลดีต่อการใช้ชีวิตคู่เป็นอย่างยิ่ง

โดยที่ฝ่ายผู้หญิงคนรักนั้นมีศรัทธาคือความเชื่ออยู่เสมอว่า ฝ่ายชายนั้นอนาคตจะต้องเป็นนักเขียนที่ยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่นได้ เธอศรัทธาในงานเขียนที่เขากำลังทำอยู่ และเชื่อว่าไม่ควรเสียเวลาที่มีค่าอย่างยิ่งในการเขียนหนังสือนี้ไปนั่งทำงานด้านอื่นหรือไปเป็นลูกจ้างคนอื่น เหมือนกับผู้ชายญี่ปุ่นส่วนมากทั่วไป พวกเขาคิดว่า ทำไมต้องเอาเวลาที่สำคัญและงานที่ยิ่งใหญ่ไปทำในเรื่องไร้สาระ หรือมีความสำคัญน้อยกว่า

คนทั้งคู่จึงตกลงกันในการใช้ชีวิตคู่ โดยที่ฝ่ายหญิงจะเป็นคนที่เสียสละออกไปทำงานนอกบ้านหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ส่วนฝ่ายชายก็มีหน้าที่ดูแลบ้าน เลี้ยงลูก จับไม้กวาด ถูบ้าน ทำอาหาร เรียกว่า งานของแม่บ้าน งานของผู้หญิงทั้งหมดผู้ชายรับเอาไปทำ เพื่อจะได้มีเวลามากขึ้นและสงบนิ่งในการเขียนหนังสืออยู่ที่บ้าน

การดำเนินชีวิตของคนคู่นี้ เป็นที่จับตามองของคนข้างบ้านเป็นอย่างยิ่ง อย่าลืมเป็นอันขาดว่า ในความเชื่อของคนญี่ปุ่นนั้น ผู้ชายต้องเป็นคนออกไปทำงานหนักหาเงินเข้าบ้าน ส่วนผู้หญิงก็ต้องเป็นแม่บ้านชั้นเลิศ ซึ่งเรื่องการเป็นแม่บ้านของสาวชาวญี่ปุ่นนั้นได้รับการยกย่องไปทั่วโลกว่า เป็นอันดับต้น ที่ผู้ชายต่างชาติทั่วโลกอยากให้เมียที่บ้านของตนเป็นอย่างผู้หญิงญี่ปุ่นนั้นบ้าง

เมื่อคนสองคนมีความเชื่อในทิศทางเดียวกัน ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งรอบข้าง ช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคในสิ่งที่เข้ามากระทบด้วยกัน จนในที่สุด ความเชื่อของเขาและเธอก็เป็นจริง ก็คือ ฝ่ายชายก็กลายเป็นนักเขียนระดับโลก ไม่ใช่แค่เป็นเพียงนักเขียนของญี่ปุ่นเท่านั้น และที่สำคัญคนทั้งสองคนรู้คุณค่าของกันและกัน ชีวิตคู่จึงสุขสมหวังทุกประการ

ในโลกปัจจุบันถ้าหากความเชื่อไม่เหมือนกันจะอยู่กันได้ไหม ถ้าบอกว่ารักกันซะอย่าง ตอบเลยว่า ได้และเห็นตัวอย่างมามากมายแล้วซึ่งเป็นอีกหนึ่งของประเภทของเนื้อคู่ แต่ชีวิตคู่ที่ไม่มีความสุขต้องฝืนทนกล้ำกลืนนั้น คนทั้งคู่ยอมรับได้ไหมนั้นอีกเรื่อง มีแต่เรื่องให้ปวดหัวที่เราเห็นอยู่รอบตัว เป็นเพราะความเชื่อที่ต่างกัน

ประเภทฉันจะไปโบสถ์ แต่เธอจะไปวัด ฉันจะบริจาคทาน แต่เธอว่าสิ้นเปลืองและไปสร้างนิสัยไม่ดีให้กับคนอื่น ฉันจะใส่เสื้อสีตามวัน แต่เธอว่าอย่าปัญญาอ่อนเลยน่า ไปเชื่อเรื่องดวงโชคชะตาทำไม ฉันจะเลี้ยงหมา แต่เธอยื่นคำขาด บอกว่าไม่ได้ฉันชอบแมวไม่ชอบหมา ฉันก็จะเลี้ยงแมว

แต่ถ้าหากเป็นเนื้อคู่ประเภทคู่เวร คู่กรรมกันแล้ว นอกจากจะบอกว่าได้แล้วต้องเพิ่มให้อีกคำว่า ต้องได้ เพราะเป็นเหมือนไฟท์บังคับ มันหลีกเลี่ยงกันไม่ได้เป็นอันขาด ถ้ายังมีชีวิตอยู่ต่อให้หนีไปถึงขั้วโลกใต้ ก็ไม่มีทางหนีพ้นไปได้

เพราะทั้งคู่มาที่มาพบกัน ก็เพราะมีกรรมลิขิต วิบากกรรมได้กำหนดไว้แล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อมีเป้าหมายให้คนทั้งคู่มาชดใช้วิบากกรรมของคนทั้งคู่ที่มีต่อกันให้หมดสิ้นกันไป ซึ่งจะนานหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับวิบากกรรมนั้นจะหนักหรือจะเบา เมื่อหมดแล้ว ก็ต้องแยกย้ายกันไป ต่างคนก็ไปรับวิบากกรรมวาระอื่นต่อ ตามคิวที่กรรมได้จัดสรรไว้ให้แล้วในชาตินี้ หรืออาจจะไปพบเนื้อคู่ในลำดับต้นๆ และพบกับความสุขจริงๆ เสียที

คู่ที่เลิกรากันหรือเปลี่ยนคู่กันบ่อยๆ ก็เป็นเพราะอาจจะเป็นเนื้อคู่กันในปางก่อนจริง มาเกื้อกูลกันบ้างในชาติปัจจุบันจริง แต่เมื่อบุญที่ทำร่วมกันมันมีน้อย เมื่อใช้บุญกันไปจนหมดแล้วไม่มีทำเพิ่ม ถึงเวลาก็ต้องแยกย้ายกันไป เหมือนรถที่วิ่งโดยมีน้ำมันนิดเดียว พอถึงจุดที่น้ำมันหมดเกลี้ยง มันจะวิ่งต่อไปข้างหน้าได้หรือไม่ ลองคิดดูกันเอง ว่า คู่ครองแบบศรัทธาเสมอกันนั้นดีเพียงใด

๒. มีศีลเสมอกัน เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ คนสองคนถ้าเป็นคนที่มีศีล รู้จักยับยั้งชั่งใจ รักษาศีลไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ก็จะพากันไปสู่สิ่งที่ดีงาม พากันเข้าไปสู่ประตูสวรรค์ได้ง่ายดาย ชีวิตคู่ก็แสนจะราบรื่น แต่ถ้าศีลฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีศีลมากกว่าเยอะ ก็คงไม่ได้อยู่ด้วยกันแน่

ศีลนั้น จริงๆ แล้วเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ คือ เป็นหลักในการปฏิบัติเพื่อที่จะให้ผู้ปฏิบัติมีกาย วาจา ใจ เป็นอิสระ จากเครื่องเหนี่ยวรั้งทั้งปวง และปกป้องตัวเองจากความเสื่อมทั้งหลาย และพ้นจากกรรมชั่ว ที่จะกลับมาสนองกับผู้ที่ไม่ปฏิบัติในศีล

อันนี้ว่าตามคำแปลที่ตรงความหมายมากที่สุดของท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) พระผู้หลักคนสำคัญของพระพุทธศาสนาในยุคนี้ และอยากที่จะขอแนะนำว่า เราควรกราบไหว้และศึกษางานของท่านเป็นที่สุด เพื่อให้เกิดสติปัญญาและความเข้าใจในพระพุทธศาสนาได้ถูกต้องชัดเจน

ในเรื่องของมีศีลเสมอกันนั้นดีอย่างไรดูง่ายๆ คนที่ชอบทำบุญ รักษาศีล เอาเพียงศีล 5 ก็พอนั้นคงทำใจลำบากกับคู่ครองที่ไม่มีศีล หรือมีศีลน้อยกว่า เพราะบอกว่าอย่าไปฆ่าสัตว์นะมันบาป เผลอแป๊ปเดียว แว่บออกไปยิงนก ตกปลาเสียแล้ว

บอกว่าขอร้องเถอะนะจ๊ะที่รัก การพนันนั้นมันไม่ดี มีแต่จะทำให้เราล่มจม ไม่มีทางรวยแน่นอน เงินทองหามายากลำบาก คนที่รวยมีแต่เจ้ามือเท่านั้นก็ไม่ฟัง ว่างเมื่อไหร่ต้องไปคลุกอยู่กับวงไพ่ งานบ้านก็ไม่ทำ ข้าวปลาก็ไม่ยอมหาให้ลูกให้ผัวกิน

บางคู่ฝ่ายหญิงก้มลงกราบก็แล้ว ด่าว่าก็แล้ว ขอเถอะอย่าไปกินเหล้าเมายา เอาเวลามาอยู่กับลูกกับเมีย ครอบครัวจะได้อบอุ่น ตกเย็นหรือตกดึกเป็นอันต้องเดินเซไปเซมา แม้แต่หมาก็ยังเตะเพราะเดินไปชนมัน อายชาวบ้านเขาไปทั่ว

คู่แบบศีลห่างกันเยอะแบบนี้ อยู่ได้ไม่เท่าไรก็ต้องโบกมือลา ต่างคนต่างไปตามกรรม ไปพบคู่ครองที่ศีลเสมอกันหรือใกล้เคียงกันจึงจะอยู่ด้วยกันยืด หรือก็อยู่ด้วยกันจนหมดอายุขัย จึงปิดม่านจบละครโรงนี้ไป รอไปเล่นกันต่อในชาติหน้า

แต่สำหรับคู่บางคู่นั้น ศีลเขาน้อยพอๆ กัน ก็จะไปด้วยกันได้ ที่ไปด้วยกันได้นั่น เขาเรียกว่า นรกนะจะบอกให้ เพราะตกเย็นกลายสภาพเป็นผัวแก้วเมียขวด หัวค่ำก็ยังพอฟังได้เพราะยังไม่เมามาก ตกดึกก็ตบตีกันอุตลุด เพราะต่างคนต่างเมาไม่มีใครฟังใคร

พวกที่ชอบเล่นการพนัน ก็พากันไปเข้าบ่อนทั้งผัวทั้งเมีย พอฟ้าสว่างเดินออกจากบ่อน เดินออกมาเหมือนผีเพิ่งลุกมาจากหลุม หน้าเขียวหน้าเหลือง เพราะทั้งอดนอนและเสียใจที่หมดเนื้อหมดตัว ผิดกับคนที่มีศีลฟ้าสว่างก็เร่งไปประกอบอาชีพการงาน หน้าตาแจ่มใสอิ่มบุญ

ดังนั้น คนที่มีศีล มีปัญญา เขาจะไม่ไปเดินหาคู่ครองกันตามผับ ตามบาร์ ตามบ่อน ที่อย่างนี้คนที่มีศีลจริง เขาก็ไม่ไปข้องแวะอยู่แล้ว คนที่ศีลก็จะอยู่กับคนที่มีศีลเสมอกัน หรือใกล้เคียงกัน เขาคงไม่ไหลไปหาที่ต่ำ ให้มีอนาคตที่ลงเหวแน่

เขาไม่มีทางจะไปคว้าสาวนักดื่ม นักดริงค์ประจำร้านเหล้ามาทำเป็นภรรยาหลอก ศีลมันคนละชั้นกัน ถ้าเกิดกรรมมันบังจนมองไม่เห็นคว้าเอามาไว้ที่บ้าน ก็ถือว่าเป็นกรรมใครกรรมมัน ก็ต้องชดใช้กันไป

ถ้าคนทั้งคู่หมั่นถือศีล พากันชักชวนให้ไปรักษาศีลร่วมกันตามที่ต่างๆ ดูแลศีลเป็นอย่างดีไม่ให้บกพร่อง ก็จะเกิดเป็นอานิสงส์บุญที่สูงกว่าการให้ทาน เป็นบุญกุศลที่ทำร่วมกัน และเป็นสายใยแห่งบุญที่จะเกี่ยวรัดให้เขาทั้งสองมาพบกันอีกในทุกชาติที่ปรารถนาได้

๓. จาคะเสมอกัน

จาคะ หมายถึงการสละสิ่งของและความสุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น และหมายรวมถึงการสละละทิ้งกิเลส ละความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ ความใจแคบ และการเลิกละนิสัย ตลอดถึงความประพฤติที่ไม่ดี ที่ทำให้เกิดความเสียหาย ก่อความบาดหมางทะเลาะเบาะแว้ง เป็นต้น

จาคะนั้นเป็นคุณธรรม ที่เป็นเหตุให้ผู้ปฏิบัติมองเห็นและเอื้ออาทรต่อความทุกข์ยากและความต้องการของคนอื่น ทำให้เป็นคนใจไม่คับแคบ ไม่เห็นแก่ตัวแล้วให้ความช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ด้วยความเห็นอกเห็นใจ เป็นคนชอบให้ ชอบแบ่งปัน ใจนั้นคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง

คนที่ครองคู่กันแล้ว ปัญหาใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ การเสียสละมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น เอาแค่เรื่องของทั้งสองคนก่อน ถ้าต่างคนต่างเป็นคนขี้เหนียว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ก็น่าจะมีปัญหามากพอแรงอยู่แล้ว

สังเกตให้ดีๆ คนพวกนี้จะไม่ให้อะไรกับใครทั้งสิ้น แต่ของๆ คนอื่นนั้นอยากที่จะได้ วันเกิดแฟนก็ไม่คิดจะมีของขวัญน่ารักๆ ไปให้ แต่วันเกิดตัวเองนั่งเฝ้ารอของขวัญว่า เมื่อไหร่จะได้สักที ถ้าไม่ให้ก็จะโกรธไม่พูดด้วย เดินคู่กันเห็นคนแก่กำลังจะข้ามถนนงกๆ เงิ่นๆ แฟนกุลีกุจอไปช่วยจูงให้ข้ามถนนอย่างปลอดภัย เดินกลับมาก็ต่อว่า ทำนองที่ว่าไปช่วยคนอื่นทำไม ธุระไม่ใช่

ญาติพี่น้องแฟนมาเยี่ยมบ้าน ก็ไม่พอใจทำท่าทางปิดประตูโครมคราม แสดงกิริยาน่ารังเกียจใส่ กลัวว่าเขาจะมารบกวนขอความช่วยเหลือ พอเขากลับไปก็ใส่ไฟใส่ร้ายต่างๆ นานา

ใครที่เจอคนที่ถูกใจแค่รูป รส กลิ่น เสียง ซึ่งมันเสื่อมลงได้ตามกาลเวลา และหน้ามืดหรือที่เรียกว่า วิบากกรรมมันบัง หลงไปคว้าคนพรรค์นี้มาเป็นคู่ครอง รับรองว่า บ้านนั้นคือ นรกดีๆ นี่เอง ไปไหนด้วยกันก็มีแต่เรื่องอับอาย เพราะความโลภอยากได้ของคนอื่น ใจแคบไม่เอาใคร สารพัดเพราะไม่รู้จักการให้ การเสียสละ

แต่ถ้ากลับกัน เป็นคนใจบุญสุนทาน ร่วมกันบริจาคทาน รู้จักการให้โดยที่ไม่หวังผลตอบแทน ให้เพราะอยากให้ผู้อื่นมีความสุข ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนเขาต้อนรับ ยกย่องสรรเสริญ ทานที่ทำก็เป็นผลบุญร่วมกันไป จะใส่บาตรร่วมขัน ทำสังฆทานร่วมกัน บริจาคทรัพย์เพื่อการกุศลและช่วยเหลือผู้ยากไร้ อุดหนุนญาติสนิทมิตรสหายตามกำลัง ฯลฯ

สำหรับเรื่องของทานถือว่าเป็นการสร้างบุญบารมีลำดับแรกที่พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้ เพื่อให้เราทุกคนรู้จักการเสียสละ รู้จักการให้ เพราะในการให้นั้นย่อมเป็นสุข ผู้ให้ย่อมเป็นสุขมากกว่าผู้รับ

เราให้ด้วยความเมตตา ให้ด้วยความเต็มใจ ให้ด้วยความยินดี สิ่งที่เราให้ไปนี้เราก็อิ่มเอิบ ในขณะเดียวกันเราเห็นผู้รับที่รับด้วยความดีใจ ความสุข มีความยินดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันก็จะเป็นความสุขซ้ำสอง ที่กลับสะท้อนมาให้กับเรา สังเกตง่ายๆ

ประการแรก เมื่อเราเป็นผู้ให้ ผู้รับเขายินดีรับ แต่ในขณะเดียวกันเราให้ เรากลับมีความยินดีในการให้มากกว่า

ประการที่สอง เราสุขเมื่อเห็นผู้รับเป็นความสุข คือในลำดับแรกต้องมีการเสียสละในการรู้จักความที่เราเป็นผู้เสียสละ รู้จักในการไม่เป็นคนที่ไม่ตระหนี่ เป็นคนที่ให้เป็นคนที่มีจิตใจกว้างขวาง พอให้แล้วผู้รับก็รับด้วยความสุข เราก็ย่อมมีความสุขด้วย

เรื่องเหล่านี้ เป็นบุญกุศลร่วมกันทั้งสิ้นของคนสองคน ชาติหน้าฉันใดก็ต้องมาเจอะเจอกันอีก มารับบุญ มารับความสุขความเจริญร่วมกัน เพราะเป็นกฎแห่งกรรม ทำได้ก็ย่อมต้องได้ดี

๔. ปัญญาเสมอกัน

พระราชพรหมยานหรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ พระอริยสงฆ์องค์หนึ่งของเรา ครั้งหนึ่งท่านได้ตอบคำถามให้กับลูกศิษย์ เมื่อลูกศิษย์คนนั้นถามท่านว่า ปัญญาคืออะไร

            ท่านจึงได้เมตตาตอบไปว่า

            “ปัญญา โดยความหมายทั่วๆ ไปแล้วแปลว่าความรู้ที่เกิดขึ้นจากการพินิจพิจารณา หรือจะแปลว่าความเฉลียวฉลาดก็ได้นะ มิใช่รู้อย่างเดียวต้องนำเอาความรู้ที่ได้นั้นมาพิจารณาด้วย หรือมิใช่ฉลาดอย่างเดียว ต้องมีเฉลียวใจด้วย จึงจะเกิดความรู้แจ้งเห็นจริงถึงแก่นแท้ของการรู้ในแต่ละอย่างได้นั่นแหละจึงจะเรียกว่า ปัญญา”

เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน และพระพุทธองค์ตรัสไว้ ในเรื่องของการที่จะมาเป็นคู่ครองกันได้นั้น ต้องมีปัญญาเสมอกัน ในปัจจุบันถ้าใกล้เคียงกันมากก็จะยิ่งมีความสุข ความเจริญ จาก ๓ ข้อใน ๔ ข้อ ที่กล่าวมาแต่ต้น คือ มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน และข้อนี้เป็นข้อสุดท้าย คือ มีปัญญาเสมอกัน ที่เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะนำความเจริญมาสู่ชีวิตคู่

ในคู่ที่มีปัญญาเสมอกันนั้น มักจะทำอะไรก็สำเร็จ เพราะมีความรู้ความเชี่ยวชาญที่เกื้อหนุนกัน แต่ถ้ามีความรู้ ความเฉลียวฉลาดต่างกันมากเกินไป ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก เพราะจะขัดแย้งกันตลอด ประเภทผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา จึงไปไม่ถึงความสุขความเจริญสักที

เราเคยได้ยินมาตลอดเวลาว่า คนที่มีโอกาสเรียนมาน้อยนั้นเมื่ออยู่กินกับคนที่มีพื้นฐานความรู้ใกล้เคียงกันเขาก็มีความสุขดี ช่วยกันทำมาหากิน คิดอ่านอะไรก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน คนที่มีความรู้ เรียนวิชาการทางโลกมามากก็ใช่ว่าจะเฉลียวฉลาดไปเสียทุกเรื่อง และมีความสุขถ้าเอาไปใช้ไม่เป็นและถูกวิธี

และยิ่งไปเลือกคู่ครองที่มีปัญญาน้อยกว่ามาก ชีวิตก็มีแต่ความทุกข์เข้ามาไม่เว้นในแต่ละวัน ถ้ามีพ่อบ้านแม่บ้านที่ใช่ปัญญาไปในทางที่ผิด ไม่ใช้ไปในสร้างคุณงามความดีใส่ตนและเพื่อความสุขของผู้อื่น กลับเอาไปใช้เบียดเบียนผู้อื่น ฉ้อโกง ตั้งแต่ระดับเล็กถึงระดับใหญ่

อย่างนี้ไม่เรียกว่า คู่ครองที่ดี เขามักจะเรียกกันว่า คู่นรกแตก ตัวอย่างผู้นำที่มีเมียต้นทุนบุญน้อย จึงมีปัญญาน้อยที่ชอบจะทำชาติบ้านเมืองให้เสียหาย ก็มีมากมาย ที่หลังบ้านนั้นเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการบังคับสามีให้ทำหรือไม่ทำ อันก่อความฉิบหายให้กับคนอื่นและบ้านเมือง

มีนิทานเรื่องหนึ่งที่สนุก จึงไม่อยากจะเก็บไว้คนเดียว ก็ขอนำมาให้อ่านทั่วๆ กัน เป็นเรื่องของการใช้ปัญญาที่ดีของคนที่จะมาเป็นคู่ครองร่วมกัน

กาลครั้งหนึ่ง ยังมีมหาเศรษฐีคนหนึ่งเป็นคนร่ำรวยมหาศาล มั่งมีเงินทองมากมาย ว่ากันว่าใช้อีกสิบชาติก็ไม่มีวันหมด และมีลูกชายอยู่คนเดียวซึ่งวันๆ ไม่ชอบที่จะทำงานแต่เป็นคนมีปัญญาหลักแหลมมากเหมือนกัน (แต่จริงๆ แล้ว คนมีปัญญาต้องขยันด้วย ปัญญาจะได้ถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ แต่เผอิญเป็นนิทานก็ไม่เป็นไร)

และท่านเศรษฐีก็แก่เฒ่าชราลงไปทุกวันๆ เขาจึงอยากจะให้ลูกชายได้มีครอบครัวเสียที และคิดว่าเมื่อลูกชายมีเมียมีครอบครัวจะได้รู้จักรับผิดชอบดูแลสมบัติได้ แต่ลูกชายก็ได้ผัดผ่อนไปเรื่อย จริงๆ แล้วเขาก็อยากมีเมียเหมือนกันแต่มันติดตรงที่ว่าเขายังหาผู้หญิงที่ฉลาดพอๆ กับเขาไม่เจอ

ชายหนุ่มผู้มีปัญญาคนนี้ก็คิดว่า การหาผู้หญิงมาเป็นเมียนั้น เป็นเรื่องที่ต้องมีการคัดสรรไม่ไปคว้าคนที่ไม่มีคุณสมบัติมาเป็นเมียโดยเด็ดขาด เขาตั้งบรรทัดฐานในใจไว้ว่า ผู้หญิงคนนั้นต้องมีปัญญาเท่าเทียมกันกับเขา

เพราะปัญญาจะเป็นผู้นำพามาซึ่งทุกสิ่งที่เป็นความเจริญ

เขาคิดอยู่เสมอว่า เขาต้องหาผู้หญิงที่ฉลาดหลักแหลมและรู้จักศิลปะในการครองเรือนและช่วยกันทำมาหากิน มิฉะนั้นถ้าได้คนโง่มาเป็นเมียจะมาช่วยกันผลาญสมบัติของตนเสียหมด เมื่อทนพ่อรบเร้าทุกวันไม่ไหว ก็ตอบตกลงกับพ่อ

แต่มีข้อแม้ว่า หญิงสาวคนที่มาอยู่บ้านนี้ได้ ต้องตอบคำถามที่เขาคิดได้ข้อหนึ่ง จึงจะโอเค (ผิดกันลิบลับกับเด็กๆ ในสมัยนี้ที่เอาแค่หน้าตาสวย เรื่องสมอง คุณสมบัติต่างๆ ไว้ว่ากันที่หลัง ซึ่งกว่าจะมีเรื่องนี้ทีหลังได้ ก็เลิกกันไปแล้วทุกคู่)

ดังนั้นท่านมหาเศรษฐีจึงแสนจะดีใจ ออกป่าวประกาศไปทั่วว่า ตนต้องการรับสมัครลูกสะใภ้ ถ้าใครได้รับการคัดเลือกแล้วก็จะมีความสุข ความสบายบนกองเงินกองทอง มีข้อแม้อยู่ข้อเดียว คือ ถ้าใครตอบคำถามของลูกชายท่านได้ ก็จะเอามาเป็นภรรยาของลูกชาย คำถามมีอยู่ว่า

            “เรามีปลาอยู่ตัวเดียว ต้องทำอย่างไรจึงจะกินได้ตลอดปี?”

คำถามของลูกชายท่านเศรษฐีนี้ ใครได้ยินก็มีแต่คนหัวเราะ บอกว่า คำถามกล้วยๆ ใครๆ ก็ตอบได้ และรวมถึงความรวยมหาศาลของท่านเศรษฐี จึงมีหญิงสาวมากมายทั้งสาว ทั้งแก่ ทั้งแม่ม่าย แห่กันมาสมัครมืดฟ้ามัวดิน แต่ก็ตอบคำถามข้อนี้ไม่ได้เสียที ตัวอย่างเช่น เมื่อท่านเศรษฐีและบุตรชายมายืนต่อหน้าคนทั้งหลายแล้วก็เริ่มเปิด คำถามออกมา

“เรามีปลาอยู่ตัวเดียว ทำอย่างไรจึงจะกินไปได้ตลอดปี”

“อ๋อ! ง่ายนิดเดียว เราก็หมักมันทำปลาร้าไว้ซิคะท่านเจ้าขา !” สาวหนึ่งตอบอย่างมั่นใจท่ามกลางเสียงเฮ…แต่ผิด

“ไม่ยากๆ ก็เอาไปทำปลาเค็มไว้ซิ ง่ายจะตายไป !” สาวแก่ผู้เจนโลกตอบอย่างฉะฉาน หวังรวยตอนแก่ แต่ทว่ามันก็ผิดอีก รวมถึงอีกหลายสาวที่แย่งกันตอบถึงบรรดาวิธีการเก็บอาหารสารพัดสารพัน แต่ก็ผิดหมดเช่น ทำปลาร้า ปลาเจ่าปลาแห้ง ปลาเค็ม มันยังไม่ถูกทั้งนั้น

            จนอยู่มาวันหนึ่ง สาวสวยพเนจร เดินโซซัดโซเซมาจากแดนไกล เข้ามาในหมู่บ้าน เห็นประกาศที่ติดอยู่ก็ยิ้มกว้าง เกิดปัญญาขึ้นมาทันที ก็ตรงรี่เข้าไปที่บ้านท่านมหาเศรษฐีอย่างไม่รอช้า เมื่อเจอหน้าชายหนุ่มเจ้าของปัญหาและท่านมหาเศรษฐี ก็อาสาที่ตอบคำถามข้อนี้ทันที

            “มีปลาอยู่ตัวเดียว เราทำอย่างไรจึงจะกินได้ตลอดปี?”

คราวนี้เป็นชายหนุ่มยิงคำถามใส่ว่าที่เจ้าสาวทันที หญิงสาวเจ้าปัญญาคนนี้มองหน้าชายหนุ่มที่อนาคตก็คือ ว่าที่สามีของนางและตอบอย่างช้าๆ ด้วยเสียงไพเราะดังแก้วกังวานว่า

“ปัญหานี้จะว่าง่ายก็ไม่ง่าย จะว่ายากก็ไม่ยาก เพราะมันปลาตัวเดียวเท่านั้น ต่อให้ทำอะไรก็ตาม เมื่อเรากินมันแล้วมันก็หมดไป แต่การที่จะทำให้ปลาตัวเดียวจะเก็บไว้มีกินตลอดชาตินั้น คือ ต้องเอาปลาตัวนั้นมาตัดเป็นท่อนๆ หลายๆ ท่อน

แล้วเอาท่อนที่หนึ่งไปให้บ้านญาติผู้ใหญ่ แสดงความกตัญญูกตเวทิตา ตอบแทนท่านที่ได้สนับสนุน อุ้มชูเรามาให้เติบโตไปสู่ความเจริญ

ท่อนที่สอง เอาไปบ้านผู้มีพระคุณ ครูบาอาจารย์ เป็นการตอบแทนและรำลึกถึงคุณงามความดีของท่าน

และปลาอีกหลายท่อนไปให้เพื่อนบ้าน มิตรสหายใกล้เคียง คนยากไร้ ในยามที่เรามีเราก็แบ่งปัน วันหนึ่งถ้าเราขาดแคลน คนเรานั้นคงจะเข้าใจเรา เห็นใจในความเอื้อเฟื้อที่เราทำไปในครั้งนั้น และบุญกุศลจากการให้ทาน จะทำให้เรามีความสุข อิ่มเอิบใจไม่เป็นคนตระหนี่

ส่วนที่เหลือ เราสองคนผัวเมีย มาแบ่งกันกินท่อนเดียวก็พอ โดยวิธีนี้ปลาตัวนั้นจะช่วยเราไปตลอดปี”

ชายหนุ่มและท่านเศรษฐีได้ยินคำตอบ ก็ปรบมือหัวเราะด้วยความชอบใจและดีใจ และท่านเศรษฐีก็ตกลงให้สาวเจ้าปัญญาคนนี้ มาช่วยดูแลมหาสมบัติและเป็นศรีภรรยาที่ดีของลูกชายทันที

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ว่า ที่ว่าปลาเพียงท่อนเดียวที่ถูกส่งไปตามบ้านต่างๆ เป็นปลาวิเศษที่มันอาจกลับมาในรูปแบบต่างๆ กันมาเป็นอาหาร เป็นน้ำใจและความเอื้ออาทรต่อกันที่ไม่มีวันหมด ซึ่งเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้เพราะการใช้ปัญญาที่เป็นและใช้ในทางถูกต้อง

จากเรื่องที่นำมากล่าวให้พิจารณาทั้งหมดในช่วงนี้ สรุปแล้วก็คือ การที่คนจะมาเป็นคู่ครองกันนั้น ต้องเป็นคนที่เคยอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน และต้องเคย เกื้อกูลกันมาในชาติปัจจุบัน มีทั้งบุญและกรรมเก่า รวมทั้งบุญและกรรมใหม่ร่วมกัน และต้องมีศรัทธาเสมอกัน ศีลเสมอกัน จาคะหรือการให้ทานเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน จึงจะเป็นคู่ครองที่ดีและเหมาะสมที่สุด

ในยุคปัจจุบันนั้น มีสิ่งล่อแหลมมากหรือเกินที่จะนำพา ให้คนทั้งคู่ หลงไปในทางที่ผิดได้ง่าย หลักการประคองคู่ที่ดีที่สุด คือ การรู้จักการให้อภัยต่อกัน ให้โอกาสซึ่งกันและกันในการกระทำซึ่งความดี ให้โอกาสซึ่งกันและกันในการกลับตัว กลับใจ อย่างน้อยก็เป็นเสบียงบุญกุศลติดตัวผู้ที่ให้ ที่ได้ช่วยชี้ทางให้คนได้เป็นคนดีได้

2 ตอบกลับไปที่ “วิธีดูเนื้อคู่ในแบบที่เหมาะสม”

  1. มีปลาตัวเดียว ทำอย่างไรจะกินได้ตลอดปี คำตอบน่าจะเป็น หาพ่อพันธุ์หรือแม่พันธุ์ปลามาเลี้ยงร่วมกับมัน+ขุดบ่อให้พวกมันอยู่มากกว่านะ มันออกลูกออกหลานมาก็สามารถกินได้ตลอดทั้งปีแล้ว หรือถ้าอยากจะได้กินในปีต่อๆไปด้วยก็ควรรอให้ลูกปลาโตและอย่าจับปลาในฤดูวางไข่ อิอิอิ 😉
    ป.ล.จริงๆแล้ว คำตอบนี้ก็ไม่ค่อยตรง เพราะส่วนหนึ่งของคำถามที่บอกว่า “ทำอย่างไรจะกินได้ตลอดปี” น่าจะหมายถึงกินปลา “ที่มีอยู่ตัวนึง” มากกว่าที่จะกินลูกๆของมัน แต่อย่างไรก็ตาม มันตรงกว่า “สิ่งที่ได้ตอบแทนจากการแจกจ่ายปลาให้ญาติผู้ใหญ่,ครูบาอาจารย์,เพื่อนบ้าน” นะ 🙂
    ป.ล.๒ เสียดายที่ผมเป็นผู้ชาย แฮะๆ บ้านหลังนั้นมีลูกสาวสวยๆน่ารักๆนิสัยดีๆป่ะครับ ^^

ใส่ความเห็น

บลอกที่ WordPress.com .