เคล็ดบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ผล

ในบทนี้จะพูดถึงการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือการขอพลังบุญจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นมาช่วยเกื้อหนุนเราให้มีพลังบุญพอที่จะฟันฝ่าและก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ไปได้

ในความเข้าใจของเราทุกคนนั้นเชื่อกันว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์หมายถึง พลังอำนาจที่เกินความสามารถของมนุษย์ปกติทั่วไป ที่มีความสามารถดลบันดาลหรือกระทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จ ซึ่งคนไทยตั้งแต่โบราณกาลนั้นรับรู้กันทั่วไปว่า พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่นี้เป็นสิ่งที่มีอยู่ เป็นสิ่งที่รู้สึกได้ แต่สัมผัสไม่ได้และยังอธิบายไม่ได้ว่ามาจากไหนแต่เชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้มาแน่นอนและถ้าเขาบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้ถูกวิธี เขาก็จะได้ในสิ่งที่เขาปรารถนา

สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเกิดขึ้นมาจาก “จิตที่มีพลังบุญบารมี” ที่มาการสร้างสมบุญมาเป็นระยะเวลายาวนานในหลายภพหลายชาติ เป็นพลังยิ่งใหญ่มีอยู่ในจิตบริสุทธิ์หรือจิตละเอียดของผู้ปฎิบัติธรรม ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ หรือเป็นฆราวาส พรหมเทพเทวดาทั้งหลาย ในสัตว์ ในคนทุกคน ในธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่หากจิตมีความละเอียดบริสุทธิ์แล้วย่อมนับได้ว่าเป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันทั้งสิ้น

            แปลความได้ง่ายๆ ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คือทุกสิ่งทุกอย่างที่มี “บุญบารมีและมีความบริสุทธิ์อยู่ในตัว” นั่นจึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงที่จะมีพลังอำนาจแห่งบุญนั้นและท่านเหล่านั้นสามารถที่จะแบ่งปันบุญไปให้ช่วยเหลือผู้อื่นได้อีกด้วย

            แต่การที่เราจะไปขอแบ่งบุญขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายนั้นเราก็ต้องมีบุญติดตัวก่อนด้วยการสร้างบุญ เหมือนเวลาที่จะไปขอให้คนอื่นเขาช่วยเหลืออย่างน้อยต้องมีทุนของตัวเองบ้างไม่ว่าจะเป็นทุนที่เป็นเงิน ทุนความรู้ความสามารถต่างๆ ในเรื่องของบุญนั้น เมื่อเรามีบุญของตนเองแล้วแต่ไม่พอที่จะไปถึงสิ่งที่ปรารถนาหรือต้องการขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า และต้องรู้จักวิธีการติดต่อเชื่อมบุญกับท่านเราจึงจะนำพลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์นั้นมาใช้ได้

“การเชื่อมบุญ” เป็นการรวบรวมทั้งบุญเก่าและใหม่เข้าไว้ด้วยกันเพื่อทำให้บุญนั้นเกิดพลังที่ใหญ่และมากพอ เมื่อรวบรวมบุญได้มากพอแล้วก็จะทำ “การอธิษฐานจิตส่งบุญ” หรืออุทิศไปให้บรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราได้ไปทำการสักการบูชาก่อน เป็นการ “ให้” ก่อนที่จะ “รับ”

หากเราเคยมีบุญผูกพันกับเหล่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่แล้วก็จะเป็นการง่ายยิ่งขึ้น เช่นบางคนที่กราบไหว้ผีบ้านผีเรือนหรือ ผีปู่ย่า เพราะมีสายสัมพันธ์กันมาแต่เดิม หากเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ เช่น องค์ท้าวมหาพรหม หรือ พระอรหันตสาวกที่เรืองฤทธิ์ ครูบาอาจารย์ที่ท่านยังไม่เคยได้รู้จักเรามาก่อน การเชื่อมบุญนี้เองจะทำให้ท่านได้รู้จักเรา ท่านจะได้โมทนาบุญนี้มาสู่เราและอำนวยพรให้เราได้สมตามความปรารถนา

ลองเปรียบเทียบง่ายๆ ดูก็ได้ว่า ถ้าเราต้องการอะไรจากคนอื่นแล้วเราเคยให้อะไรกับคนอื่นบ้างหรือไม่ หากมีคนที่ไม่รู้จักกันจู่ๆ มีคนมาขอความช่วยเหลือ เราจะสามารถให้ความช่วยเหลือได้ทันทีหรือไม่ หากมีใครมาขอความช่วยเหลือเราทั้งที่ไม่รู้จักกัน ร้อยทั้งร้อยก็คงจะแปลกใจ หากจู่ๆ มีคนมาขอความช่วยเหลือ ส่วนมากก็คงคิดว่าหมอนี่ช่างกล้านะไม่ได้รู้จักกันเลย อยู่ดีๆ จะมาขอความช่วยเหลือกันได้อย่างไร ซึ่งถ้าเป็นคนที่มีจิตใจเมตตาพิจารณาว่าเขาคงเดือดร้อนจริงก็คงช่วยได้แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น

โดยธรรมชาติหากเราต้องการให้คนอื่นช่วยเหลือใดๆ ตัวของเราเองก็ต้องเคยมีบุญคุณเคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาก่อนหรือรู้จักกันมาก่อนเวลาไปขอความช่วยเหลือเขาถึงจะกล้าให้ความช่วยเหลือเรา

การเชื่อมบุญก็เช่นเดียวกัน หากต้องการให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายท่านได้ช่วยเราก็ต้องทำตนให้ดีเสียก่อนและทำบุญส่งบุญไปให้ท่านเหล่านั้น ขอย้ำอีกครั้งว่าต้องทำบุญให้มากๆ เสียก่อนไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะเอาบุญที่ไหนไปส่งให้ท่านได้

หลายท่านคงจะเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ถ้าไม่มีบุญมากพอจะทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่เมื่อบุญได้มาถึงแล้วแม้เอาช้างมาฉุด หรือแม้แต่ฟ้าก็ไม่อาจขวางกั้นได้”

เพราะอย่างนี้ภายหลังการทำบุญทุกครั้งพระท่านจึงมักจะบอกให้กรวดน้ำส่งบุญไปให้ผู้ที่เราต้องการจะอุทิศให้แล้วตั้งจิตอธิษฐานขอให้ผลบุญนี้ส่งไปถึง ซึ่งการเชื่อมบุญนั้นเราสามารถทำได้ “ตลอดเวลา” ทุกครั้งที่มีการทำบุญด้วยวิธีมากมายที่ได้กล่าวไปแล้ว อย่างง่ายที่สุดก็คือเมื่อลืมตาตื่นเช้าขึ้นมาก่อนจะทำกิจกรรมใดๆ ขอให้สวดมนต์ไหว้พระ และอาราธนาศีล 5 และสมาทานศีล 5 มาไว้กับตัวเท่านี้ก็เกิดบุญขึ้นแล้ว มีแล้วก็เชื่อมบุญไปยังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ให้ความเคารพทันที ไม่ได้สิ้นเปลืองอะไรเลย

วิธีการในการเชื่อมบุญทำอย่างไร

หากลองนึกดูให้ดีๆ ภายหลังจากที่เราได้ไปทำบุญ จะมีข้อปฏิบัติหนึ่งที่เรียกว่า การกรวดน้ำอุทิศบุญกุศลและกล่าวคำโมทนาบุญแบบต่างๆ ใช่หรือไม่ การกระทำแบบนั้นเองที่หมายถึง “การเชื่อมบุญ” เพื่อหวังจะส่งบุญให้ถึงกับผู้รับ

ไม่ใช่เรื่องแปลกลึกลับอะไรเลยใช่หรือไม่แท้ที่จริงแล้วหากว่าด้วยวิธีการก็คือก็คือการ แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศล และ กรวดน้ำส่งบุญไปให้นั่นเอง

การแผ่เมตตา เป็นการเจริญเมตตาให้ตนเองและผู้อื่นโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้จิตใจอ่อนโยนมีจิตเมตตาเป็นที่ตั้งอยู่ในตนเองเสมอ เมื่อพบเห็นสิ่งใด ก็จะมีจิตเมตตาทำให้เป็นที่รักใคร่ของผู้อื่น และจะทำให้ ผู้ที่เจริญเมตตาเป็นประจำกลายเป็นคนที่ คิดดี ทำดี ต่อตนเอง และผู้อื่นอยู่เสมอ

ภายหลังการทำบุญแล้วต้องแผ่เมตตาอุทิศบุญให้ตนเองก่อนด้วย บทแผ่เมตตาตนเอง ดังนี้

อะหัง สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข

อะหัง นิททุกโข โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากความทุกข์

อะหัง อะเวโร โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากเวร

อะหัง อัพยาปัชโฌ โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากอุปสรรคอันตรายทั้งปวง

สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุขกายสุขใจ รักษากายวาจาใจให้พันจากความทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด

หลังจากนั้นจึงค่อยส่งบุญนี้ไปให้เหล่าสรรพสัตว์อื่นๆ ด้วยคำแผ่เมตตาต่อเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ว่า

สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

อะเวรา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย

อัพยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

อนีฆา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย

สุขีอัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิดฯ

สำหรับเรื่องที่หลายคนยังมีความกังวลว่าเมื่อทำบุญแล้วไม่ได้กรวดน้ำหรือเลยเวลากรวดน้ำไปแล้วจะเป็นอย่างไรบุญจะลดน้อยลงหรือไม่มีเวลาของการหมดบุญที่ทำด้วยหรือเปล่าขอให้เข้าใจว่า บุญนั้นไม่มีกาลเวลา เมื่อทำแล้วยังอยู่ไม่ได้หายไปไหนนึกได้เมื่อใดก็กรวดน้ำได้ทันที ขอให้ระลึกถึงบุญที่ทำไว้เป็นสำคัญ

การกรวดน้ำให้เทน้ำกรวดลงไปให้ไหลติดต่อกัน ไม่ให้ขาดสายเพื่อให้บุญนั้นเกิดความต่อเนื่องไม่ขาดระยะเปรียบเหมือนบุญนั้นเป็นกระแสน้ำที่ไหลลงไปสู่มหาสมุทรโดยไหลเป็นสายยาว หากขาดหรือไม่ต่อเนื่อง ก็เหมือนบุญขาดช่วงมาไม่สม่ำเสมอผู้รับก็จะรับบุญได้ไม่เต็มที่

แต่สำหรับผู้ที่มีฌานที่แกร่งกล้าอย่างผู้ที่ได้ทำการฝึกฝนจิตให้เข้มแข็งและมีความละเอียดอย่างเหล่าพระภิกษุเพราะท่านเหล่านั้นได้มีการฝึกฝนจิตมาดีแล้วไม่จำเป็นต้องอุทิศบุญหรือส่งผลบุญโดยใช้น้ำ ท่านสามารถโมทนาอุทิศบุญไปถึงผู้ที่รอรับบุญได้ทันทีหรือที่เรียกกันว่า “กรวดแห้ง” นั่นเอง

หลักการขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ผล

            การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ผลต้องทำบุญก่อนและได้ทำการเชื่อมบุญไปให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงค่อยทำการ “การขอพร” ไม่ใช่การ “ติดสินบน” สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้ท่านเกิดกิเลส การขอพรคือการขอให้บุญบารมีที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นมีให้ท่านได้โมทนาบุญความดีของเรา ซึ่งหลายๆ คนเข้าใจผิดและเกิดความสับสนระหว่างการขอ “อำนวยพร” กับ “การบนบาน”

การบนบานนั้นหากจะลองเปรียบเทียบดูให้ชัดเจนเหมือนกับการที่เราไปขอพึ่งบารมีคนๆ หนึ่งถ้าท่านมอบสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้ท่านได้เราก็จะตอบแทนด้วยของกำนัลที่ทำให้เกิดกิเลส ยิ่งไปบนขอในเรื่องที่ไม่ดีด้วยแล้ว ยิ่งไม่เกิดผลใดๆ เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้มีบุญทั้งหลายย่อมไม่ต้องการให้บาปเกิดขึ้นมาติดตัวท่านอย่างแน่นอน

และที่สำคัญที่สุดตัวเราเองที่เป็นคนไปชักชวน เอาของไปล่อใจไปก่อกรรมที่ไม่ดีกับท่านเหล่านั้นก็ต้องรับบาปกรรมที่ได้ติดสินบนท่านเหล่านั้นไว้ด้วย แต่ถ้าอยากจะบนบานให้ได้จริงๆ สิ่งที่จะนำมาเป็นของตอบแทนท่านก็ควรตั้งเป็น “สัจจะ” ถือเป็นสิ่งที่รับปากท่านจะสร้างบุญให้เกิดขึ้นต่อไป

เช่น เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วทำตามสัจจะที่ตั้งไว้ด้วย “การบวช 7 วัน หรือ 15 วัน” อย่างนี้ก็เป็นการสร้างบุญบารมีเพิ่มแล้วอุทิศบุญเพิ่มเข้าไปใหม่ให้ท่านเหล่านั้นมีความสุขมากขึ้นซึ่งขอสนับสนุนให้ทำได้เลย และสุดท้ายที่ขอเน้นย้ำไว้ก็คือ สิ่งที่เราขอจากท่าน  “ต้องเป็นสิ่งที่ดีไม่ผิดศีลธรรม” เท่านั้นรับรอง

การขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อำนวยพรให้ธุรกิจการค้าต่างๆ ของเราเจริญก้าวหน้าไม่เกิดอุปสรรคติดขัด ย่อมเกิดผลสำเร็จมากกว่า การที่จะไปขอให้ท่านช่วย ทำลายคู่แข่งทางการค้าของเราให้พินาศไป อย่างนี้เป็นต้น

เรื่องของการบูชาที่ต้องประกอบด้วยของเซ่นไหว้นั้นจำเป็นหรือไม่ หลายคนถามมาเสมอว่ากลัวว่าสิ่งศักดิ์สิทธ์ท่านจะไม่พอใจ ไม่ชอบใจแล้วจะไม่ช่วย มันคนละเรื่องกัน บอกแล้วว่าท่านชอบในเรื่อง “การปฏิบัติบูชา หรือการเป็นคนดี มีศีลธรรมกำกับชีวิต คนที่หมั่นสร้างบุญกุศล ละเว้นความชั่วทั้งปวงมากกว่า “อามิสบูชา” หากเราไม่มีเงินก็อย่าไปขวนขวายกู้หนี้ยืมสินคนอื่นไปซื้อของมาบูชา

เอา “หัวใจ” ของเราที่แน่วแน่จะทำความดี เอามือทั้งสองข้างของเรานั่นแหละกราบท่านด้วยความเคารพอย่างจริงใจ บอกได้อย่างหนึ่งว่าไม่ว่ารวยหรือจนท่านช่วยเสมอถ้าเป็นคนดีจริง

การบูชาที่ต้องประกอบด้วยของเซ่นไหว้ความจริงแล้วเป็นพิธีกรรมความเชื่ออย่างหนึ่ง โดยของเซ่นไหว้ต่างๆ มักจะดูจากนิสัยเดิมของเทพเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นๆ ในระหว่างที่องค์เทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นยังเป็นมนุษย์ท่านชอบอะไรไม่ชอบอะไร

เช่น หากท่านชอบรับประทานเนื้อก็มักจะเอาเนื้อสดมาบูชา หรือท่านชอบรับประทานไข่ก็เอาไข่มาบูชา บางท่านก็ชอบดื่มเหล้า ก็มักจะเอาเหล้ามาบูชา หรือถ้าไม่รู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นท่านชอบอะไรก็มักจะเตรียมกันมาแบบครบเครื่องเอาแบบเผื่อเหลือเผื่อขาด ก็เชิญทำกันตามสบายหากท่านมีเงินทอง หรือเมื่อทำแล้วสบายใจไม่เดือดร้อนทั้งต่อตนเองและคนอื่นก็ทำไปเถิด

            แต่มีครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งแนะนำว่า ของเซ่นไหว้นั้นถ้าเอาไปถวายพระสงฆ์ให้ท่านรับแล้วร่วมอนุโมทนา  เมื่อเราเมื่อถวายแล้วแล้วต้องอุทิศบุญเชื่อมบุญส่งให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกับบริวารของท่าน สิ่งที่เราต้องการให้ท่านช่วยจะสมหวังเร็วขึ้น

สำหรับสิ่งของเซ่นไหว้ อาหารคาวหวาน ส่วนมากจะใช้กับดวงวิญญาณที่อยู่ในภพภูมิต่ำกว่าเทพ การที่จะบูชาขอให้ใช้สติให้ดีในเรื่องนี้ ถ้าจะทำขอแนะนำว่าให้ทำให้ครบทั้งอาหารคาวหวาน ผลไม้ ขนม น้ำดื่มจะได้ไม่ขาดตกบกพร่อง เพราะดวงวิญญาณนั้นมีหลายจริต มีความชอบเหมือนคนที่แตกต่างกัน ทำให้ครบดีกว่าทำขาด

           เคล็ดนี้ก็สุดแต่ท่านจะพิจารณาด้วยบุญของท่านเอง แต่ที่แน่ๆ ถ้าบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถูกวิธี ตรงช่องทางรับรองว่าท่านช่วยทุกคนแน่

ใส่ความเห็น

บลอกที่ WordPress.com .