พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงเรื่องการเกิดของมนุษย์นั้นเป็นของยาก คือต้องมีบุญบารมีมากพอจึงจะเกิดได้หากจะเปรียบเทียบเป็นเชิงอุปมาก็คือเหมือนมี “เต่าตาบอดตัวหนึ่ง” ดำน้ำอยู่ในทะเล แล้วทุก ๆ 100 ปีเจ้าเต่าตาบอดตัวนี้จะโผล่หัวขึ้นมาจากทะเลครั้งหนึ่ง
ในทะเลก็จะมีห่วงเล็ก ๆขนาดใหญ่กว่าหัวเต่าอยู่หน่อยหนึ่งลอยขึ้นมาอยู่หนึ่งห่วง โอกาสที่เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่ขึ้นมาแล้วหัวสวมเข้ากับห่วงพอดียากเพียงใดนั้นคงแทบจะบรรยายความยากกันไม่หมดว่ายากเพียงใด แต่โอกาสที่ยากเย็นถึงเพียงนั้น ก็ยังได้ชื่อว่า “มีมากกว่า” การที่เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายจะมีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์เสียอีก
หากเราลองนำคำสอนที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ในเชิงอุปมาเช่นนี้มาคิดเล่น ๆเทียบดูให้เห็นชัดว่า การจะเกิดมาเป็นมนุษย์ได้นั้นยากเย็นจริง ๆแม้ว่าปัจจุบันมนุษย์จะมีปริมาณมากในปัจจุบันกว่า 6 พันล้านคนแต่ก็ยังถือเป็นจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆที่อาศัยอยู่ร่วมกันในโลกใบนี้
เพียงแค่ลองเทียบกับ มดหรือแมลงทั้งโลกนี้ ก็เรียกได้ว่า เป็นอัตราส่วนที่ประมาณกันไม่ได้เลยทีเดียว
ทำไมเราจึงไม่เกิดเป็นมด เป็นแมลง เป็นนกหรือสุนัข ก็เพราะเราได้ทำบุญมาดีแล้วมีบุญบารมีสะสมมามากพอสมควรแล้วจึงเกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจสูงกว่าและมีโอกาสที่ดีกว่ามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่ามีอะไรอีกมากมายหลายประการที่สัตว์เดรัจฉานและสัตว์เลื้อยคลานไม่อาจจะมีหรือเป็นได้เลย
จากเรื่องราวการแบ่งแยกอดีตชาติของคนเราในแต่ละประเภทที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า คนเรานั้นเกิดมาเป็นอะไร มีจิตเดิมเป็นอย่างไรก็เพราะเกิดมาจากการกระทำ หรือ “กรรม” เดิมของเราทั้งสิ้น ผลแห่งกรรมย่อมตรงต่อเหตุที่ได้ทำเอาไว้ทำอะไรมาย่อมได้รับผลหรือเกิดขึ้นเป็นเช่นนั้น ทำกรรมมาดีจึงได้เกิดมาดีมีความสุข ในทางตรงกันข้ามหากทำกรรมมาไม่ดีมากแม้ผลบุญจะส่งให้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ยังต้องรับผลแห่งกรรมนั้นไปตามเหตุและปัจจัย
เมื่อเราพอจะรู้เช่นนี้แล้ว เราจึงควรเห็นคุณค่าของการที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ว่าเมื่อการเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยากก็ต้องอย่าให้เสียโอกาสหรือเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ต้องหมั่นเอาใจใส่รักษาความเป็นมนุษย์คือประกอบด้วยศีลและคุณงามความดีนี้ไว้ให้ได้อย่างมั่นคงเพื่อไม่ให้จิตตกต่ำและกลับไปเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิที่ไม่มีความสุขอย่าง ภูมิของสัตว์เดรัจฉานหรือสัตว์นรกผู้มีความทุกข์อีก
เราไม่ควรจะให้ความสำคัญกับเรื่องที่ว่า “ชาติที่แล้วนั้นเราจะมีอดีตชาติเป็นอย่างไรมากนัก” ผู้มีปัญญาย่อมมองแต่พฤติกรรมในปัจจุบันนี้เท่านั้น เราจึงไม่ต้องให้ความสนใจว่าใครจะชั่วร้ายหรือแสนดีมาแต่ชาติก่อนอย่างไร ควรจะมองต่อไปว่าในปัจจุบันนี้ตัวตนของเราเองในชาตินี้เป็นเช่นใดอย่างไร
เนื่องจากกาลเวลาชาติภพอันยาวนานที่ผ่านมาเราไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขได้ เพราะเพียงแค่เวลาในชาติปัจจุบันชีวิตของเราก็มีความทุกข์และความยากลำบากมากอยู่แล้ว หมายความว่า โดยธรรมชาติเราก็ไม่สามารถที่จะปล่อยวางสิ่งต่าง ๆได้อยู่แล้ว หากไปพัวพันกับเวลาของอดีตอนาคตให้จบยากลงอีก การรู้อดีตชาติจึงเป็นเพียงการรู้อดีตก็เพียงเพื่อรู้แล้วจะนำกลับมาเป็นพื้นฐานเพื่อแก้ไขชีวิตในปัจจุบันให้พัฒนาสูง ๆขึ้นไป
เพราะร่างกายและจิตใจที่ดำรงอยู่ในชาติปัจจุบันมีผลอยู่จริงต้องอาศัยอยู่จริง สามารถเรียนรู้ความจริงได้ด้วยรูปและนามปัจจุบันนี้ว่าแท้แล้วมีสภาพอย่างไร ต่างจากอดีตที่จบไปแล้วและอนาคตที่ยังมาไม่ถึง มีแต่ขณะนี้และเดี๋ยวนี้เท่านั้นที่เราจะต้องตั้งสติให้ดีเพื่อให้เราได้สร้างกรรมใหม่ที่ขึ้นเพื่อให้กลายเป็นพื้นฐานในชีวิตที่ดีในอนาคตต่อไป
ใส่ความเห็น