หลังจากที่ได้สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวมาดีแล้วชีวิตพื้นฐานเบื้องต้นของเราก็จะดีขึ้นเป็นลำดับแล้วจึงค่อยไปแสวงหาความสัมพันธ์กับผู้อื่นภายนอกต่อไป และการสร้างความสัมพันธ์ในอันดับต้น ๆก็คือ คนเราต้องการความรักต้องการคนมาดูแลเอาใจใส่ ทุกคนจึงต้องการที่จะมีแฟนมีคนรักเสมอ

แต่เคยสงสัยหรือไม่ว่า เหตุใดที่เรายังไม่มีคู่หรือยังไม่ได้แต่งงานในเวลาอันสมควรเสียทีนั่นก็เพราะผลกรรมในอดีตชาติที่เคยทำมาเช่นเดียวกันคือ เคยทำให้คนอื่นไม่สมหวังในความรัก,เคยแย่งชิงคู่ครองคนอื่นมาเป็นของตนหรือเคยผิดศีลข้อที่ 3 มาเป็นจำนวนมาก
ดังตัวอย่างที่ปรากฏในอรรถกถาพระไตรปิฎก เล่มที่ 26 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 18 ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถาซึ่งเป็นคาถาสุภาษิตของ “นางอิสิทาสีและนางโพธีเถรี”
มีภิกษุณี 2 รูปซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ทรงคุณธรรมเป็นธิดาในศากยสกุล (เกิดในวงศ์ของกษัตริย์) ในนครโกสุมเมืองปาตลีบุตร รูปหนึ่งชื่ออิสิทาสีเถรี อีกรูปหนึ่งชื่อโพธีเถรี เป็นภิกษุนี้ผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ยินดีในการเพ่งฌานและเป็นพหูสูตเป็นภิกษุอรหันต์ทั้งสองรูป ภิกษุณีทั้งสองรูปนั้น ไปเที่ยวบิณฑบาตกลับมาแล้วทำภัตกิจและล้างบาตรเสร็จแล้ว ก็นั่งพักและทำการสนทนาธรรมกัน
พระโพธีเถรีถามพระนางอิสิทาสีเถรีว่าเหตุใดพระนางจึงออกบวชทั้งที่ยังอายุน้อย ๆอยู่เช่นนี้ พระนางอิสิทาสีนั้นเป็นผู้ฉลาดในการแสดงธรรมจึงได้เล่าเรื่องราวอันเป็นเหตุให้ออกบวช
สมัยก่อนจะออกบวช บิดาของพระนางเองนั้นเป็นเศรษฐีอยู่ในกรุงอุชเชนีและ บังเอิญว่าพระนางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวและเป็นคนที่มีรูปลักษณะภายนอกงดงามมาก เมื่อนางเติบโตขึ้นก็ยิ่งกลายเป็นหญิงที่งามพร้อมทั้งร่างกายและกิริยามารยาทอันดีงาม บิดาก็ประสงค์จะให้นางแต่งงานออกเรือนไปและก็มีเศรษฐีคนหนึ่งจากเมืองสาเกตมาขอเป็นสะใภ้ บิดาของนางก็มีความยินดีที่จะยกให้
พอพระนางได้ไปครองเรือนอยู่กับสามีที่บ้านของสามีและพ่อสามีนางก็ปฏิบัติตนด้วยดีสมเป็นกุลสตรีโบราณตลอด คือ ไหว้พ่อสามีและสามีทุกเช้าเย็น สามีจะสอนอะไรอย่างไรก็ทำตามนั้นปรนนิบัติครอบครัวอย่างดีที่สุด ตื่นแต่เช้าตระเตรียมการทุกอย่างในบ้านรวมไปถึงของส่วนตัวของสามีอย่างดีราวกับคนรับใช้ก็ไม่ปาน
คุณผู้ชายทั้งหลายลองคิดตามเล่น ๆดูว่าถ้ามีภรรยาที่สาวสวยและแสนดีอย่างนี้คงจะให้ความรักมากอย่างแน่นอนเมื่อทำงานนอกบ้านเสร็จแล้วก็คงกลับบ้านแต่หัววันทุกวันเป็นแน่
แต่สามีของนางกลับไม่รู้สึกเช่นนั้นแม้ว่า เขาจะได้รับการปรนนิบัติที่ดีอย่างไรก็ตามก็ไม่อาจจะรู้สึกอยากอยู่กินกับนางอิสิทาสีต่อไปได้ จึงไปบอกกับพ่อแม่ให้ส่งนางคืนไปยังครอบครัวของนางเสีย ฝ่ายพ่อแม่ได้ยินเข้าก็แปลกใจทำไมหนอ สะใภ้แสนดีเช่นนี้ยังจะทิ้งได้ลงคอ จึงเรียกนางอิสิทาสีมาถามถึงสาเหตุก็ไม่พบว่านางผิดปกติเรื่องความประพฤติแต่อย่างใด เพียงแต่สามีไม่ปลื้มไม่รักเท่านั้นจึงไม่อยากอยู่ด้วย หากไม่ส่งนางกลับตัวเขาก็จะเป็นคนออกจากบ้านไปเอง
เจอออย่างนี้คนเป็นพ่อเป็นแม่เลยจำใจต้องส่งลูกสะใภ้แสนดีกลับมาที่บ้าน ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่ต้องเป็นเช่นนั้นเพราะพ่อแม่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอาลูกของตนเองไว้ก่อน พอนางอิสิทาสีกลับมาอยู่ที่บ้านคลายเศร้าคลายทุกข์จากการที่สามีไม่รักแล้วก็ทำใจได้ นางยังสาวยังสวยขนาดนี้จะหาสามีใหม่ไม่ใช่ปัญหา ท่านเศรษฐีที่เป็นบิดาก็จัดหาสามีคนใหม่ให้ โดยที่คนๆนี้เป็นคนที่ร่ำรวยน้อยกว่าสามีคนแรกครึ่งหนึ่งและมีฐานะพอ ๆกันกับครอบครัวของตน นางก็ไม่ปฏิเสธไปอยู่ด้วยแล้วก็ปฏิบัติตัวเองดีเช่นเดิมไม่ขาดตกบกพร่องแต่ก็อยู่ได้เพียงแค่เดือนเดียว สามีคนที่สองก็บอกไม่ชอบไม่ยอมรับนางอิสิทาสีนั้นเสียอีกไล่นางกลับบ้านมาไม่ต่างจากคนแรกเลย
คนเป็นพ่อเจออย่างนี้คงจะปวดหัวปวดใจกับเรื่องนี้ไม่น้อย เพราะลูกสาวตนทั้งสวยทั้งแสนดียกให้กับคนรวยกว่าก็ไม่เอา รวยพอ ๆกันก็ไม่เอา อย่ากระนั้นเลยเอาขอทานข้างถนนก็ได้ ขอให้ลูกสาวมีสามี ว่าแล้วก็ไปหาขอทานพเนจรที่มีจิตใจดีมีศีลธรรมคนหนึ่งมาเป็นสามีให้กับลูกสาวโดยไม่ต้องทำหน้าที่อะไร ขอเพียงเป็นสามีที่ดีให้กับลูกสาวก็พอ
ลองคิดดูเล่น ๆอีกทีถ้าเราเป็นชายขอทานแล้วจู่ ๆตกถังข้าวสารรวยทันทีแถมมีภรรยาสาวสวยเช่นนี้คงสบายไปตลอดชาติแน่นอนเป็นใคร ๆก็รับทั้งนั้น แต่นางอิสิทาสีก็อยู่กับสามีที่เป็นอดีตขอทานได้เพียงครึ่งเดือน ขอทานหนุ่มก็บอกไม่เอา ไม่อยากอยู่ร่วมกับนางอิสิทาสี เอาขันเอาย่ามเอาเครื่องมือหากินเก่าคืนมาเลย ขอเป็นหนุ่มวนิพกพเนจรอย่างนี้ไปดีกว่าจะต้องอยู่ร่วมเป็นหลักเป็นแหล่งกับนางอิสิทาสี
ขนาดที่ว่าพ่อตาที่เป็นเศรษฐีเรียกมาถามว่าขาดตกบกพร่องอะไรก็บอกมาจะถวายประเคนให้ก็ไม่เอาทั้งนั้นขอลาเป็นขอทานพเนจรต่อไปอย่างนี้ ก็ต้องปล่อยไปอีกคนแล้วกลับมานั่งกุมขมับกันต่อว่าทำไมจึงไม่มีใครสามารถอยู่ร่วมกับลูกสาวของตนเองได้
ท่านอิสิทาสีพิจารณาดังนี้แล้วก็เห็นว่าคงไม่มีประโยชน์ต่อไปที่จะอยู่ครองเรือนอีก จึงขอลาไปบวชดีกว่า
ด้วยบุญบารมีที่ได้สั่งสมมาและชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย พระนางอิสิทาสีจึงได้พบกับพระชินทัตตาเถรี เป็นภิกษุณีอรหันต์รูปหนึ่งผ่านมาเที่ยวบิณฑบาตแถวบ้านพอพระนางอิสิทาสีได้เห็นท่าน จึงลุกไปจัดอาสนะของถวายของแก่ท่าน และเมื่อท่านนั่งเสร็จแล้วพระนางก็กราบเท้าและถวายโภชนาอาหารอย่างดี เสร็จแล้ว พระนางก็กล่าวกับพระชินทัตตาเถรีว่าอยากจะออกบวช พระนางชินทัตตาก็บอกให้ไปขออนุญาตพ่อแม่ก่อน พระนางก็ขอร้องอยู่นานจนได้ออกบวชสำเร็จ
หลังจากออกบวชได้ 7 วัน พระนางก็ได้บรรลุวิชชา 3 (อภิญญา 3) สามารถ “ระลึกชาติย้อนหลัง”ของตนกลับไปได้ 7 ชาติ ด้วยสงสัยในวิบากกรรมซึ่งเป็นผลให้เกิดความไม่พอใจแก่สามีทั้งหลายจนไม่มีใครอยากจะอยู่ด้วยไม่ว่ารวยกว่า ฐานะเท่ากัน หรือ ยากจนกว่าก็ตาม
เมื่อได้ทำการระลึกชาติย้อนไปดูพระนางก็พบว่า เมื่อก่อนพระนางเกิดเป็นนายช่างทอง มีทรัพย์มาก ร่ำรวยอยู่มากอาศัยอยู่ในนครเอรกกัจฉะ เป็นคนมัวเมาเพราะความเป็นหนุ่มได้คบชู้ภรรยาของบุคคลอื่นทำให้ครอบครัวคนอื่นแตกแยกมากมายพอตายจากชาตินั้นแล้ว ก็ต้องตกนรกหมกไหม้อยู่ในนรกเป็นเวลานาน
ครั้นพ้นจากนรกนั้นแล้วก็ได้ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานคือลิงวานร พอคลอดได้ 7 วัน วานรใหญ่ที่เป็นนายฝูงก็กัดอวัยวะสืบพันธุ์ของพระนางเสีย นี่เป็นผลกรรมของพระนางในชาติก่อนที่ได้เกิดเป็นหนุ่มคบชู้ภรรยาของชายอื่นจนเป็นเหตุให้ครอบครัวของเขาเหล่านั้นแตกแยก
พอได้มาเกิดใหม่อีกชาติหนึ่งก็ได้เกิดมาเป็นนางแพะตาบอดพออยู่มาได้ 12 ปี ก็ถูกเด็กตัดอวัยวะสืบพันธุ์เสียต่อมาจึงได้เป็นโรคถูกหมู่หนอนฟอนเฟะที่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์และต้องทรมานจนตาย นี่เพราะโทษที่คบชู้ภรรยาของชายอื่นที่หลงเหลือมาจากกรรมเดิมนั้น
หลังจากตายในชาตินั้นแล้วก็ได้กลับมาเกิดในท้องแม่โคของพ่อค้าคนหนึ่ง เป็นลูกโคมีขนแดงเหมือนสีครั่ง เมื่ออายุได้ 12 เดือนก็ถูกตอนอวัยวะสืบพันธ์อีกถูกเขาใช้เทียมไถและเข็นเกวียนอย่างหนักจนกลายเป็นโคตาบอดและขี้โรคทรมานจนตาย
หลังจากตายจากชาติที่เป็นวัว ก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ในเรือนของนางทาสีข้างถนน เกิดมาก็มีความพิกลพิการจะเป็นหญิงก็ไม่ใช่ เป็นชายก็ไม่เชิงนี่เพราะโทษที่คบชู้กับภรรยาของชายอื่นทำให้ครอบครัวคนอื่นแตกแยกพออายุได้เพียง 30 ปี ก็ตายลง
ต่อมาหลังจากชาตินั้นแล้วก็มาเกิดเป็นลูกหญิงในสกุลช่างสานเสื่อ ซึ่งเป็นคนยากจนขัดสนมาก นอกจากนี้ยังมีแต่เจ้าหนี้มารุมทวงหนี้เป็นประจำจนเมื่อมีหนี้เพิ่มมากขึ้นจึงถูกพ่อค้าเกวียนมาริบเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดไปและยังฉุดนางมาเป็นทาสในเรือนอีกด้วย
ภายหลังที่นางมีอายุครบ 16 ปี บุตรชายของพ่อค้าเกวียนนั้นมีชื่อว่า คิริทาส ได้เห็นพระนางเป็นสาวรุ่นมีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ขอไปเป็นภรรยา แต่นายคิริทาสนั้นก็มีภรรยาอื่นอีกคนหนึ่งแล้ว แต่ภรรยาของนาย คิริทาสผู้นี้เป็นคนดีมีศีลมาก ตัวของพระนางเองในชาตินั้นก็เกิดชอบพอกับนายคิริทาสผู้นั้นเสียอีก จึงบังคับให้นายคิริทาสให้ขับไล่ภรรยาของเขาไปเพื่อที่ตนจะได้ครอบครองนายคิริทาสแต่เพียงผู้เดียว
ด้วยผลกรรมที่เคยทำให้ครอบครัวคนอื่นแตกแยกทั้งในชาติที่ได้เกิดมาเป็นชายและหญิงส่งผลให้ผลกรรมมาตกถึงพระนางในชาติสุดท้ายเกิดมาเป็นพระนางอิสิทาสีผู้ที่ไม่มีใครต้องการเช่นนี้ นี่คือผลกรรมของผู้ที่ผิดศีลข้อ 3 และทำให้คู่รักคนอื่นแตกแยกส่งผลชาตินี้ไม่มีใครรักและต้องการ
แต่พระนางอิสิทาสีเถรีเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้ที่ “เข้าใจกรรม” เมื่อท่านได้เข้าใจเหตุแห่งกรรมเช่นนั้นท่านก็ไม่ได้นำมาเป็นความทุกข์ใจหรือความอับอายที่จะต้องออกบวชกลับเห็นว่าเป็นการดีที่จะได้สร้างบุญสร้างกุศลและบารมีอันยิ่งใหญ่และเป็นชาติสุดท้ายที่จะเกิด พระนางจึงได้ออกบวชประพฤติธรรมจนสำเร็จเป็นภิกษุณีอรหันต์และหลุดพ้นไป
ดังนั้นการจะแก้ไขเรื่องกรรมเก่าแบบนี้ก็ต้องแก้ที่ตัวเราเองอีกเช่นเดียวกันโดยต้องปฏิบัติทั้งในทางโลกและทางธรรมไปควบคู่กัน
การปฏิบัติแก้ไขในทางโลก
การที่เราจะมีเนื้อคู่ที่ดีและจะมีความสุขในชีวิตคู่ได้นั้นต้องเราต้องเริ่มจากตัวของเราเองก่อน คือสำรวจดูตัวเองก่อนว่า ณ วันนี้ตัวของเราเป็นอย่างไรมีความประพฤติอย่างไร มีคุณงามความดีและคุณสมบัติมากแค่ไหนที่จะพร้อมออกไปนำเสนอและทำความรู้จักคนอื่นก่อนจะพัฒนาตนเองให้เป็นคู่ครองกับอีกฝ่าย
คุณผู้อ่านที่เป็นสุภาพสตรีลองคิดตามไปง่าย ๆว่า ถ้ามีเราเป็นคนหนึ่งยังไม่มีคู่แล้วต้องการมีคู่ที่ดีนั้นควรจะมีคุณสมบัติอะไรบ้างคือ ต้องมีงานมีการดี ๆทำเป็นหลักเป็นแหล่ง มีบุคลิกภาพที่ดีพอคืออัธยาศัยที่ดีรู้จักเข้าสังคม มีอารมณ์ขัน รู้จักแต่งตัวให้ดูดีไม่เชยจนเกินไป และนี่คือคุณสมบัติพื้นฐานที่เชื่อว่า ผู้หญิงทุกคนต้องการเป็นอันดับต้น ๆ
เช่นเดียวกันกับคุณผู้อ่านที่เป็นสุภาพบุรุษ ก็ย่อมต้องการค้นหาคนที่เป็นเนื้อคู่คือ เป็นสุภาพสตรีที่มีอัธยาศัยที่เข้ากับตนเองได้ มีการงานทำ มีความเฉลียวฉลาดและมีความเป็นกุลสตรีคือมีกิริยามารยาทงดงาม ถ้าเป็นคนที่สวย รูปร่างดี และแต่งตัวดีมีฐานะด้วยก็ยิ่งถือว่าโชคดีเป็น 2 ชั้น ที่เรียกว่าหาได้ยากยิ่ง
แน่นอนว่าผู้ชายและผู้หญิงในอุดมคตินั้นเป็นผู้ที่หาได้ยากสำหรับแต่ละบุคคล แต่อย่างน้อยเราก็ควรรู้จักแก้ไขบุคลิกภาพภายนอกและภายในของตัวเองเสียก่อนให้ดีที่สุดหรือใกล้เคียงที่สุดของความเป็น อุดมคติจนกลายเป็นลักษณะนิสัยโดยธรรมชาติของตัวเองได้
การกระทำได้เช่นนี้จะเท่ากับเป็นการสร้างทางเลือกที่ดีให้กับตนเองได้มากยิ่งขึ้นหากต้องการเนื้อคู่ เราต้องเป็นคนที่มีงานทำขยันขันแข็งมีรายได้แน่นอน มีคุณธรรมพื้นฐานไม่เจ้าชู้ประตูดินทั้งชายและหญิงไม่มั่วอบายอันจะนำไปในทางที่เสื่อมเราจึงจะเป็นที่ต้องการของฝ่ายตรงข้าม เราทุกคนคงไม่ต้องการเนื้อคู่ที่นิสัยไม่ดี ยากจน กินเหล้าเมายา,ชอบเที่ยวกลางคืน หรือคนที่ตกงานคุณสมบัติที่ไม่เป็นที่ต้องการเช่นนี้ควรจะพยายามทำทุกวิถีทางที่จะหลีกหนีให้ไกลเพราะย่อมไม่มีใครอยากจะมาร่วมหัวจมท้ายทนทุกข์กับความนิสัยไม่ดีและความยากจนอย่างแน่นอน
การปฏิบัติแก้ไขในทางธรรม
นอกจากการปฏิบัติตนในทางโลกแล้วบางคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมบางคนที่ดูดีสมบูรณ์แบบไปด้วยทั้ง ฐานะ รูปร่างหน้าตา ชื่อเสียงเงินทองและมีความประพฤติที่ดีแล้วก็ยังไม่มีเนื้อคู่เสียทีจนบางทีกลายเป็นคำถามยอดฮิตที่ว่า มีการเบี่ยงเบนทางเพศหรือไม่ซึ่งแม้ความจริงอาจเป็นเช่นนั้นหรือไม่ใช่ก็ตาม
การปฏิบัติในทางโลกนั้นยังไม่เพียงพอเรายังต้องปฏิบัติในทางธรรมไปด้วย อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรม การปฏิบัติแก้ไขในทางธรรมจึงเป็นสิ่งที่เราต้องทำควบคู่นั่นก็คือ
การให้ทาน
การให้ทานเพื่อให้เกิดความสุขอันจะทำให้เกิดความรักนั้นไม่ใช่เพียงแค่การบริจาคสิ่งของด้วยเงินทองหรือ ของที่เป็นคู่ ๆตามความเชื่อ เช่น แจกันคู่ เชิงเทียนคู่ หรือดอกไม้ให้แก่พระภิกษุเสมอไป ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่กระทำได้ แต่เราสามารถให้ทานอันจะก่อให้เกิดความรักได้ เช่น การให้สายตาที่มีความเมตตาปราณีกับคนอื่น, มีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส, มีวาจาที่ไพเราะน่าฟัง , รู้จักช่วยเหลือการงานที่ดีกับผู้อื่น ทั้งเพศเดียวกันและเพศตรงข้าม ที่สำคัญคือรู้จักการให้อภัยในความผิดพลาดผู้อื่นอันถือเป็นทานที่ยิ่งใหญ่ คนที่รู้จักให้อภัยไม่เคียดแค้นไม่มักโกรธย่อมกลายเป็นคนที่รักและมากด้วยเสน่ห์ไปเองตามธรรมชาติ
การรักษาศีล
อย่างที่กล่าวไปแล้วตามหลักของกฎแห่งกรรมว่า การที่ต้องร้างคู่ไม่มีใครต้องการเพราะเราผิดศีลข้อ 3 มามากเราจึงต้องรักษาศีลทุกข้อให้มั่นคง โดยเฉพาะข้อ 3 คือไม่เจ้าชู้เบียดเบียนคู่ครองของใครอีก
รวมไปถึงการเที่ยวกลางคืนเที่ยวตามแหล่งบริการต่าง ๆด้วยโดยเฉพาะกรณีหากชาตินี้เราเป็นชายเราต้องไม่ลืมว่า หญิงที่ไปขายบริการนั้นแม้พวกเธอจะยินยอมให้บริการทางเพศนั้นก็เพียงเพราะพวกเธอต้องการเพียงทรัพย์สินที่จะได้จากผู้ที่ไปเที่ยวบริการ เธอไม่ได้เต็มใจให้บริการด้วยจิตปรารถนาของตนที่สำคัญคือ พวกเธอเหล่านั้นอาจเป็นผู้ที่มีครอบครัวแล้ว มีบุตรหรือสามีมาก่อนแล้ว ด้วยเหตุและปัจจัยทำให้ยากจนทำให้เธอเหล่านั้นต้องมาทำงานประเภทนี้ ถ้าเราไปเที่ยวหญิงบริการและมีการร่วมประเวณีกันก็เท่ากับว่าเราได้ละเมิดผิดศีลข้อที่ 3 ไปละเมิดคู่ครองของผู้อื่นเช่นกัน
หากเป็นเพศหญิงก็ต้องทำจิตใจให้มั่นคงและเชื่อมั่นในคู่ครองของตนเองไม่หวั่นไหว หรือต่อให้ฝ่ายชายไปมีคนอื่น เราก็ไม่ควรจะไปทำตามเป็นการแก้เผ็ดแก้แค้นกันเพราะจะยิ่งทำให้เรายิ่งห่างไกลคู่แท้หรือความรักที่แท้จริงไปมากยิ่งขึ้นและเป็นการสร้างเวรสร้างกรรมให้เกิดขึ้นเป็นกรรมใหม่ผูกพันกันต่อไป
การเจริญภาวนา
การเจริญภาวนาในที่นี้หมายถึง การรู้จักอนุโมทนายินดีเมื่อคนอื่นมีความสุขสมหวังในความรัก โดยการตั้งจิตภาวนาให้คนที่ประสบสุขในเรื่องความรักนั้นมีความสุข คือเมื่อเห็นใครมีความสุขในความรักแล้วก็มีการอุทิศบุญที่ได้ทำมาให้คนคู่นั้นด้วยจิตที่ไม่อิจฉาริษยาในความรักก็จะทำให้จิตใจสบายและอาจจะมีสิทธิ์ได้พบกับเนื้อคู่หรือรักแท้ได้ในเวลาไม่นาน
แต่หลักสำคัญในการพิจารณาปัญญาให้ตรงกับการแก้ไขกรรมเรื่องคู่รักคู่ครองนั้น เราควรเข้าใจก่อนว่าธรรมชาติของคนเราชอบสิ่งที่สวยงามน่ารัก หล่อเหลาเช่นเดียวกันจึงเป็นเหตุให้จิตไปผูกพันกับคนที่มีรูปร่างสวยหล่อนั้นได้ง่าย ๆอันเป็นเหตุให้เกิดการนอกใจและผิดศีลข้อที่ 3ไปได้
ควรใช้วิธีการพิจารณาจิตด้วยหลัก “อสุภกรรมฐาน” ซึ่งแปลว่า เราต้องหัดพิจารณาว่า ร่างกายของคนเรานั้นแท้จริงเป็นของสกปรก เป็นของไม่สวยงาม
ยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุดคือ ร่างกายของเราต้องอาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง แม้เราจะไม่ได้ทำอะไรเลยร่างกายเราก็สกปรกด้วยเหงื่อไคลอยู่ตลอดเวลาแล้ว แม้แต่เสื้อผ้าที่สะอาด ๆเมื่อมาถูกมาอยู่กับร่างกายเรามันก็สกปรกมีกลิ่นเหม็นเมื่อผ่านไปแต่ละวัน นี่เป็นการคิดใคร่ครวญด้วยความจริงว่าอย่าไปหลงไปยึดติดกับสิ่งที่เราคิดว่าสวยงามมากนัก
คนสวย ๆหล่อ ๆมากมายที่จะเป็นเหตุให้เราเอาใจไปผูกติด ก็ต้องอาบน้ำชำระร่างกายเป็นประจำ และปรุงแต่งร่างกายด้วยเครื่องหอมเครื่องสำอางสารพัดชนิดซึ่งเป็นเพียงการป้องกันความสกปรกอันเป็นธรรมชาติไม่ให้ออกมาได้ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อถึงตอนเย็นหรือก่อนนอนก็ต้องล้างออกหมด คืนสภาพทุกอย่างเป็นเหมือนเดิม
กรณีต่อมาก็คือ คนเราต้องกินและขับถ่ายออกไปทุกวัน ให้ลองสังเกตจากห้องน้ำที่เราใช้อยู่เป็นประจำโดยไม่ล้างสัก 1 -2 สัปดาห์ก็จะเป็นคราบสกปรกติดอยู่เต็มไปหมดและมันก็มาจากร่างกายของเราทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปัสสาวะ อุจจาระ เศษเส้นผม คราบไคลที่เกาะติดตามพื้นหรือผนัง เรายังต้องนำน้ำยามาขัดออกให้สะอาดแล้วภายในร่างกายของเรานั้นจะสกปรกมากมายแค่ไหน
และกรณีสุดท้ายก็คือ หมั่นพิจารณาว่า เราแก่ลงทุกวันสังขารเสื่อมไปทุกวัน ร่างกายที่เห็นว่าหล่อว่าสวยน่าหลงใหลมาก ๆนั้นเดี๋ยวก็แก่ เดี๋ยวก็เหี่ยว หรือตกกระไปตามธรรมชาติไม่น่าหลงใหลอีกต่อไปเราจะได้เอาใจไปยึดติดหรือเอาไปผูกกับบุคคลใดมาก จะได้ไม่หลงใหลในความสวยงามนั้น ยิ่งพอตายกลายเป็นศพแล้วก็ยิ่งน่าเกลียดน่ากลัว ส่งกลิ่นเน่าเหม็นไปตามธรรมชาติ การหมั่นพิจารณาร่างกายของเราและคนอื่นได้ดังนี้ จะทำให้ลดความ “หลงในรูป” อันเป็นกิเลสให้ผิดศีลข้อ 3 ได้เป็นอย่างดี
Read Full Post »