ผู้คอยกลั่นแกล้งเราเป็นได้ทั้งเจ้ากรรมนายเวรและเครื่องพิสูจน์ความสามารถในการก้าวข้ามอุปสรรคเชื่อว่าหลายคนที่เป็นคนเก่งและมีความสามารถมากๆ ในการทำงานอาจจะประสบปัญหาเหล่านี้ได้ ซึ่งมีสาเหตุหลายๆประการ
กรรมเก่า
ในอดีตเราอาจเคยไปพูดหรือกระทำการใดก็ตามเป็นการใส่ร้ายป้ายสีเขามาก่อน เคยปิดทางความเจริญของเขา หรือไปขัดขวางในสิ่งที่เขาควรจะได้ทำให้เขาไม่ได้ ทำให้เขาเดือดร้อนมาก เขาจึงผูกอาฆาตตามจองเวรกันมา ลองคิดดูได้ง่าย ๆ ว่า เหตุใดแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ทำให้เราต้องมาเจอกันกับคนที่ชอบหน้าและคนที่เพียงเห็นห้าก็รู้สึกไม่ดีด้วย ก็เพราะกรรมจัดมาให้เจอกัน บางคนนั้นพอเราได้พบเห็นทีแรกก็รู้สึกถูกชะตา รู้สึกต้องใจอยากเป็นเพื่อนด้วย คุยกันก็มีความถูกคอกันได้เร็วเพราะคนที่เป็นมิตรเหล่านี้มีกรรมผูกพันกันเคยเป็นมิตรที่ดีเคยสนับสนุนช่วยเหลือกันมาก่อน กรรมเก่าจึงชักนำพามาให้เจอกันได้ช่วยเหลือกันอีก
ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่ถูกชะตาหรือคนที่ไม่ชอบหน้าแม้จะเจอกันแค่ครั้งเดียว ก็ไม่อยากเข้าใกล้ เพราะจิตเดิมเคยเป็นศัตรูกันมาก่อน เคยทำร้ายกันมาก่อนและมีความผูกพันในกรรมที่จะต้องมาชดใช้กรรมร่วมกัน จึงนำพามาให้เจอกันและยังไม่มีการอโหสิกรรมให้แก่กันและกัน บางครั้งกายเนื้อในชาตินี้ดูเหมือนเป็นมิตรกันแต่ในใจคิดทำลายล้างกัน บางครั้งก็ไม่รู้ตัวประเภททำงานร่วมกันทีไรมีแต่ความฉิบหายล่มจม หรือขัดแย้งกันตลอด ทั้งๆ ที่ภายนอกดูเหมือนไม่มีอะไรก็ตาม
กรรมใหม่
เรื่องของกรรมใหม่นั้นเป็นเรื่องของ “ทัศนคติ” ของตัวเราเอง ความจริงแล้วคนที่เป็นเพื่อนร่วมงานที่ไม่ใช่ญาตินั้นหากมองในแง่ปัจจุบันเพียงอย่างเดียวก็คือ เขาก็เป็นเช่นเดียวกับเราคือ ต่างคนต่างมีความถนัดกันคนละแบบ ชอบกันคนละอย่าง มีเป้าหมายในชีวิต มีวิธีการคิดและทำคนละแบบกัน
การที่เราจะไปก่อศัตรูให้เขากลายเป็นเจ้ากรรมนายเวรเราต่อไป ก็เพราะ เราไปตั้งแง่คิดแบบด้านลบกับเขาก่อน ที่เรียกว่า “อคติ” ที่อธิบายไม่ได้อยู่ในใจ คือเป็นได้ทั้ง ฉันทาคติ คือไม่ชอบคนนี้ก็หาเรื่องไปเข้าข้างอีกฝ่ายที่เราชอบพอกว่า โทสาคติ คือมีอคติเพราะเกลียดโกรธกันมาก่อน ภยาคติ ถืออคติเพราะเกรงกลัวกันมาก่อน และ มีโมหะคติคือถืออคติเพราะความไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขามาก่อน
สิ่งที่เป็นอคติเหล่านี้จึงเป็นสาเหตุทำให้ทำงานร่วมกันได้อย่างยากลำบาก เมื่อความชอบต่างกัน รสนิยมต่างกันก็ทำให้ทำงานด้วยกันไม่ได้และเมื่อต้องมาทำงานร่วมกันจึงต้องขัดแย้งขัดแข้งขัดขากันตลอดเวลา เมื่อมีความไม่ชอบพอต่อกันต่างคนต่างมีจิตอาฆาตอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์จึงได้กระทำการสร้างกรรมใหม่ขึ้นอีกโดยการไปใส่ร้ายหรือกลั่นแกล้งกันเพื่อให้อีกฝ่ายได้รับความเดือดร้อนและสุดท้ายก็จะเป็นผลกรรมผูกพันกันไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด
วิธีแก้ไขทางโลก
การแก้ไขในทางโลกนี้ ค่อนข้างเป็นเรื่องยากในการปฏิบัติเพราะเป็นเรื่องของการ “ปรับความคิด” หรือปรับทัศนคติให้เป็นบวกเพราะว่าผลกรรมนั้นเกิดไปแล้ว เราได้รับความเดือดร้อนไปแล้วจึงทำให้มีความทุกข์และความอาฆาตตามมา สิ่งที่ต้องเร่งกระทำก่อนก็คือ การรู้จักเปิดใจให้กว้างรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นบ้าง ที่สำคัญต้องรู้จักการปลงให้ตกและให้อภัย เช่น การถูกกลั่นแกล้งให้ถูกออกจากงานก็ให้คิดปลงตกเสียว่า เราได้หมดเวรหมดกรรมจากสถานที่นี้แห่งนี้แล้วจะได้ไปเจริญก้าวหน้าที่อื่นต่อไป ขอให้คนผู้นั้นได้อย่ามาจองเวรอาฆาตต่อไป เมื่อเดือดเนื้อร้อนใจก็ควรวางอุเบกขานิ่งเฉยอย่าไปคิดตามให้จิตตก หากเกิดอะไรขึ้นกับเรา ก็ต้องยอมรับว่าเป็นกรรมของเราเองที่ทำมา ถ้าเห็นคนอื่นได้ดีหรือตกต่ำก็ปล่อยวาง เพราะเป็นกรรมของเขาไม่เกี่ยวอะไรกับเรา ซึ่งทั้งหมดเป็นการคิดให้เกิดความสบายใจแต่ไม่ใช่การยอมแพ้กรรมนั้น
วิธีแก้ไขในทางธรรม
ให้หมั่นขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรเสียทำได้บ่อยๆ ในทุกวัน ยิ่งทำมากยิ่งดี สำหรับเจ้ากรรมนายเวรที่เราไม่รู้หรือเป็นดวงวิญญาณไม่ว่าจะทำอะไรที่เป็นบุญให้อุทิศไปให้เขาทันที พูดแบบง่ายๆ ยกบุญนั้นให้เขาทุกครั้ง
หมั่นทำทานโดยเน้นไปที่เจตนาจะช่วยเหลือผู้อื่น ที่ได้รับความเดือดร้อนเป็นหลัก เช่นเห็นคนยากไร้ต้องหนาวสั่นเพราะไม่มีเสื้อผ้าหรือผ้าห่มก็ให้ทานไปตามที่เขาต้องการ ไม่ใช่คนขาดผ้าห่มแต่เอารองเท้าไปให้ ดังที่โบราณสอนไว้ว่า อย่าเอาหวีไปให้คนหัวล้าน มันก็ไม่ตรงกับความต้องการ ของที่ได้รับไม่มีประโยชน์ บุญนั้นเกิดจริงแต่น้อยมากๆ
เคล็ดสำคัญที่ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำที่จะช่วยคลายวิบากกรรมเร็ว ก็คือ การให้แบบตรงกับความต้องการของคนที่มาขอความช่วยเหลือ และการสงเคราะห์สัตว์ เช่น การไปไถ่ถอนชีวิตโค กระบือ การปล่อยสัตว์ประเภทนก ปลา หอยต่างๆ ซึ่งมีเคล็ดอยู่ที่ต้องเอาสัตว์นั้นมาถวายพระสงฆ์เสียก่อน เพื่อให้ท่านโมทนาบุญ แล้วผาติกรรมหรือซื้อคืนจากท่าน
มีข้อแม้ว่าจำนวนเงินที่ซื้อคืนต้องเท่ากันหรือมากว่าที่เราซื้อสัตว์นั้นมา เช่น ซื้อมา 20 บาทต้องซื้อคืนที่เกิน 20บาทขึ้นไปห้ามต่ำกว่า เพราะถ้าต่ำกว่าจะเป็นติดหนี้สงฆ์เข้าไปอีก แต่ถ้ามากกว่า 20 บาท ส่วนที่เกินนั้นจะเป็นบุญเพิ่มกับตัวเราเอง
หรือจะใช้วิธีทำบุญถวายอาหารแก่พระสงฆ์โดยไม่ระบุเจาะจงให้เป็นสังฆทาน เลี้ยงเด็กอนาถาและคนชราด้วยก็ได้กระแสบุญที่ทำเพื่อคนอื่นที่ทุกข์ร้อนกว่าเราจะช่วยให้เราปราศจากศัตรูมีแต่คนเมตตาและอำนวยพรให้ หรือใช้วิธีการบริจาคเงินสร้างหีบศพเพื่อศพอนาถาไม่มีที่เผาหรือฝัง โดยบริจาคผ่านมูลนิธิหรือหากมีกำลังทรัพย์พอก็ให้ บริจาคหีบศพ 1 ใบ โดยเขียนชื่อบุคคลนั้นๆ(ผู้ที่เกลียดเรา) ว่าเป็นผู้บริจาคเพื่อให้พระท่านโมทนาบุญให้
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ต้องให้อภัยทานให้กับเจ้ากรรมนายเวรเสมอ เผาความอาฆาตในใจเราให้ออกไปให้หมด เพราะเราทราบแล้วว่าผู้ที่เคยกลั่นแกล้งเราเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรเรามาก่อน เราทำให้เขาเดือดร้อนมาก่อนจึงต้องชดใช้ การให้อภัยไม่ถือสาหาความกันอีกถืออภัยทานที่ดีและเป็นทานที่สูงค่าที่สุดยิ่งกว่าทานใดๆทั้งสิ้น นอกจากทำทานด้วยวัตถุทานและอภัยทานแล้ว ยังต้องเร่งรักษาศีล 5 ให้ครบโดยเฉพาะข้อที่ 4 คืออย่าไปผิดคำพูดกับใครทำให้เกิดความผิดใจอาฆาตกันอีก รับปากใครแล้วก็ต้องทำตามให้ได้อย่างที่พูด และหมั่นเจริญสมาธิภาวนาให้จิตนิ่งอยู่เสมอ เพื่อเป็นการละความเกลียดและโกรธที่มีอยู่ออกจากจิตใจ โดยระยะเริ่มแรกให้เริ่มด้วยการสวดมนต์บ่อย ๆก่อนเพื่อไม่ให้จิตฟุ้งซ่านไปยังที่อื่น ให้จิตตั้งมั่นรวมอยู่กับบทสวดมนต์ตรงหน้าก่อนเท่านั้น
เมื่อสวดมนต์ได้เป็นประจำแล้วก็ให้ หมั่นแผ่เมตตาจิตหลังสวดมนต์ไปยังศัตรูที่เคยทำให้เราเดือดร้อนอยู่เป็นประจำ การกระทำเช่นนี้จะช่วยให้จิตใจมีกำลังมากขึ้นไม่ตกเป็นทาสความโกรธและเมื่อมีปัญหาอุปสรรคใหม่ ๆเข้ามาแล้วจิตจะได้ไม่ตกและค้นพบวิธีแก้ปัญหาต่อๆไปได้
ใส่ความเห็น