เทวดาเองก็มีความกลัวเหมือนมนุษย์ ต้องการที่พึ่งแบบเดียวกันเพราะแม้จะเป็นเทวดาเสวยสุขอยู่แต่ถ้าทำไม่ดีก็มีสิทธิ์ตกนรกได้ และที่เหมือนกับมนุษย์อีกอย่างก็คือ เทวดาก็มีข้อจำกัดในเรื่องของสติปัญญา ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางในปัญหาหลายๆ เรื่อง จึงเป็นเหตุให้พากันมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อคลายความสงสัยและหาวิธีแก้ไขปัญหาของตนจากพุทธโอวาท
สาเหตุแห่งปัญหาของเทวดาที่พากันแก้ไม่ตกบอกไม่ถูกมีดังต่อไปนี้
- 1. เพราะกลัวตาย
ไม่น่าเชื่อว่าเทวดาเองก็กลัวตายเหมือนกับมนุษย์ เวลาที่ใกล้ตายเทวดาจะพยายามอย่างยิ่งเพื่อรักษาสมบัติของตนเอง ความเป็นทิพย์ของตนเอง ความเป็นสุขของตนเองเอาไว้ราวกับมหาเศรษฐีที่เพียบพร้อมทุกอย่างแล้วยังหวงแหนสุขไม่ยอมละยอมวางอะไรง่ายๆ
คนดังที่กลัวตายกว่าใครก็น่าจะเป็น ท้าวสักกะหรือพระอินทร์นั่นเอง ครั้งหนึ่งท่านทราบว่าอายุขัยความเป็นเทพของตนเองจะหมดแล้ว โดยทรงเห็นเครื่องหมายแห่งความตายปรากฏ แสงรัศมีเรื่องหมอง สมบัติก็เริ่มหมอง ทุกอย่างเริ่มหมองลงๆ ก็เลยเกิดกลัวขึ้นมาก็ทรงเห็นว่ามีแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะทรงเป็นที่พึ่งแก่พระองค์ได้ จึงไปเข้าเฝ้าพร้อมด้วยเทพผู้เป็นบริวาร เพื่อทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตอบปัญหาจบลง ท้าวสักกะพร้อมด้วยเทวดาแปดหมื่นของตนเองที่เป็นบริวารได้บรรลุโสดาปัตติผล
ตรงนี้ในพระคัมภีร์อรรถกถาได้แสดงไว้ว่า ผลของการฟังคำตอบในปัญหาดังกล่าว ทำให้ท้าวสักกะได้ดวงตาเห็นธรรมและกลับมาเป็นท้าวสักกะหนุ่มมีรัศมีเปล่งปลั่งอีกครั้ง ดังพุทธดำรัสที่ว่า
“ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ท้าวสักกะเทวราชทำสิเนหาในเรานั้น ไม่น่าอัศจรรย์ เพราะท้าวสักกเทวราชนี้ ในกาลเมื่อถูกมรณภัยคุกคามจึงพร้อมด้วยเทพบริษัทนั่งฟังธรรมเทศนา ณ อินทสาลคูหา เมื่อได้ฟังพยากรณ์ปัญหาจากเราจบแล้วได้เป็นพระโสดาบัน ละความเป็นท้าวสักกะแก่ถึงความเป็นท้าวสักกะหนุ่ม เพราะอาศัยเรานี่เอง”
- 2. เพราะกลัวจะไปเกิดในนรก
เทวดาเองยังเป็นผู้ที่มีกิเลสกลัวว่าเมื่ออายุขัยของตนหมดสิ้นไปแล้วจะไปเกิดในนรก จึงมาเข้าเฝ้าทูลถามปัญหาเพื่อพระพุทธองค์จะเป็นที่พึ่งช่วยแก้ไขปลดเปลื้องทุกข์ให้แก่ตน
เทวดาองค์หนึ่ง ชื่อสุพรหมเทพบุตรซึ่งในอดีตชาติเป็นเศรษฐีขี้เหนียว ทำแต่ความชั่ว บุญกุศลไม่เคยทำเลยตลอดชีวิต แต่ก่อนตายได้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าขึ้นมา ด้วยกรรมก่อนตายนั้นยังผลให้ไปเกิดในสวรรค์ เทวดาองค์นี้ก็เลยมีความประมาท ชอบสำเริงสำราญอยู่กับนางเทพธิดาทั้ง 500 ในวิมานของตัวเอง
ครั้งหนึ่งมีเพื่อนเทวดามาบอกข่าวว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาจึงชวนไปฟังธรรมให้เกิดบุญกุศล สุพรหมเทพบุตรก็ปฏิเสธ ว่าจะอยู่ในวิมานของตนเองอย่างเดียว เพื่อนเทวดาจึงไม่รบเร้า แต่ก่อนที่จะลากลับก็เห็นว่าแสงรอบตัวของสุพรหมเทพบุตรนี้กำลังหรี่ลงทุกที ก็ทำให้รู้ว่าเทวดาองค์นี้กำลังจะจุติแล้วจึงได้ทักเข้า
ว่าแล้วยังไม่ทันขาดคำนางเทพอัปสรทั้ง 500 ก็พลันจุติลงนรกไปก่อน สุพรหมเทพบุตรได้เห็นดังนั้นก็ลองตรวจดูว่าเหล่าเทพธิดาทั้ง 500 ไปเกิดในนรกจริงๆ จึงเกิดความหวาดกลัวจึงได้ขอร้องให้ช่วย เทวดาเพื่อนก็บอกช่วยไม่ได้ แม้แต่เจ้าผู้ครองสวรรค์อย่างท่านท้าวสักกะก็ช่วยไม่ได้ มีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้นที่จะช่วยได้ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สุพรหมเทพบุตรจึงได้ขอร้องให้เพื่อนเทวดาพาไปพบกับพระพุทธเจ้าแล้วตั้งคำถามกับพระพุทธองค์ว่า ทำอย่างไรจิตจึงจะไม่สะดุ้งหวาดกลัวในการตกนรกพระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ว่า
“ความสวัสดีจะมีได้ก็เพราะประกอบด้วย ปัญญา มีความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส การสำรวมอินทรีย์และปล่อยวางจากสรรพสิ่งทั้งปวงนั่นและเป็นเหตุแห่งความสวัสดี”
ในเวลาจบพยากรณ์ปัญหา สุพรหมเทพบุตรได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันพร้อมด้วยนางเทพอัปสรห้าร้อยที่เหลืออยู่ที่ยังไม่ได้ไปจุติ การบรรลุธรรมเป็นโสดาบันเป็นการปิดทางอบายได้จึงไม่ต้องตกนรกและกลับมาเป็นเทพบุตรดังเดิม เรียกได้ว่าอานุภาพแห่งพระธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเป็นของวิเศษโดยแท้
- 3. เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าเองที่สามารถตอบปัญหาได้
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า บางทีปัญญาของเทวดา ก็ยัง “ไม่ถึง” ความรู้บางอย่างเป็นความรู้ระดับปริญญาเอก เทวดาหลายๆ องค์บางทีไม่รู้ว่าเรียนจบมัธยมต้นหรือเปล่าในแง่ทางธรรม ต้องให้พระบรมครูตอบให้เท่านั้น เพราะพระพุทธองค์เป็นผู้มีปัญญาบารมีที่จะตอบได้
ท้าวสักกะเองเคยถามปัญหาที่ดูเหมือนจะตอบง่ายแต่กลับไม่ง่ายเอาไว้ว่า ทานชนิดไหนบ้างที่เป็นเยี่ยม รสชนิดไหนเป็นยอด ความยินดีชนิดไหนเป็นเลิศ และ ความสิ้นไปแห่งตัณหา เหล่าบัณฑิตพากันกล่าวว่าประเสริฐ มันประเสริฐได้เพราะอะไร
ปัญหาทั้งสี่ข้อนี้ ไม่มีเทวดาตนใดตอบได้ พวกเทวดาจึงปรึกษาหารือกัน จนล่วงเลยมาเป็นปีๆ แล้วก็ยังขบปัญหากันไม่แตก พากันไปเฝ้าท้าวมหาราชทั้ง 4 หรือ สี่กษัตริย์ผู้ครองสวรรค์ชั้นที่ 1 ก็ยังไม่ได้คำตอบจึงต้องหันไปพึ่งพระพุทธเจ้าเพราะปัญหานี้เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าที่จะตอบได้
พระพุทธเจ้าจึงให้คำตอบแบบฟันธงว่า
“ธรรมทานเป็นเยี่ยมกว่าทานทั้งปวง รสแห่งพระธรรมเป็นยอดกว่ารสทั้งปวง ความยินดีในธรรมเป็นเลิศกว่าความยินดีทั้งปวง และความสิ้นไปแห่งตัณหาชื่อว่าประเสริฐเพราะว่าความสิ้นแห่งตัณหาชนะทุกข์ทั้งปวง”
พระพุทธองค์ตอบง่ายๆ เพียงเท่านี้แต่ได้รับผลดีเป็นอย่างมากอย่างไม่น่าเชื่อ กล่าวคือ เมื่อเทวดาที่ได้ฟังธรรมจากคำถามของท้าวสักกะที่ตอบโดยพระพุทธองค์จบแล้วมีเทวดาประมาณ 8 หมื่น 4 พันองค์ได้บรรลุธรรม
- 4. เพราะว่าอยากรู้คำตอบ
พูดจาภาษาสมัยใหม่ก็คือ เทวดาก็อยากจะ “สนอง Need” ของตนเองเพราะปัญหาบางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการดาเนินชีวิตของมนุษย์หรือเทวดาก็ตาม จัดว่าเป็นประเด็นที่เหล่าเทวดาให้ความสนใจ
เทวดาเองก็อยากจะรู้ในเรื่องต่างๆ ทั้งเรื่องความเจริญและเรื่องความเสื่อมของสัตว์ทั้งหลาย เหล่าเทวดาจะว่าไปแล้วก็เหมือน เด็กๆ ที่สงสัยอะไรขึ้นมาก็ถามเอาจากพระพุทธเจ้ากันตรงๆ เพราะจะให้ไปค้นคว้าหาคำตอบเองก็ทำไม่ได้ หรือ ไปทดลองวิทยาศาสตร์ในสวรรค์ก็ไม่ใช่วิสัยของเทวดา
ในอรรถกถาปราภวสูตร มีใจความแสดงถึงเรื่องความสงสัยในหมู่เทวดา เมื่อพวกเทวดาได้ฟังมงคลสูตรแล้วพากันคิดว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมที่เป็นทางแต่ความเจริญและความสวัสดีว่ามี 38 ข้อนะ แต่ไม่ทรงแสดงความเสื่อมซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายเสื่อมเสียพินาศเลย
ด้วยเหตุนั้นเองเหล่าเทวดาจึงพากันมาเข้าเฝ้าแล้วทูลถามเหตุแห่งความเสื่อมว่ามีจำนวนกี่ข้อ พระพุทธองค์ก็ทรงตอบไปตามลำดับ เมื่อจบคำพยากรณ์ปัญหาแล้ว เทวดาทั้งหลายก็ได้บรรลุธรรมไปหลายระดับตั้งแต่ โสดาปัตติผล สกทาคามิผล และอนาคามิผล เรียกได้ว่าต้องรู้มันทั้งสองด้านถึงจะเข้าใจหายสงสัยแบบแจ่มแจ้ง