อย่างที่กล่าวไปแล้วในสาเหตุแห่งกรรมที่ทำให้เกิดโรคร้าย ทุกกรณีนั้นเกิดจากการเบียดเบียนสัตว์ และการเบียดเบียนชีวิตซึ่งกันและกันทั้งสิ้น สิ่งที่ช่วยระงับและบรรเทาเบาบางไม่ให้เราต้อง
ไปก่อผลกรรมให้เกิดผลเสียตามมาอีกก็คือการรักษาศีล
ศีลนั้น มีปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาแปลความว่า “ความปกติ” จนกลายเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า คนที่รักษาตนให้มีศีล ก็เรียกว่า รักษาตนให้เป็นปกติหรือสภาพที่เป็นปกติของคนๆหนึ่งพึงจะเป็น เป็นความปกติที่คนทุกนั้นมี เป็นความสุขความสงบ และเรียบง่ายตามวิถีแห่งธรรมชาติ
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ครูบาอาจารย์กำลังสำคัญของพระพุทธศาสนาในยุคนี้ ท่านกล่าวไว้ว่า การมีศีลทำให้มนุษย์ได้อยู่กันเป็นปกติ เพราะแต่ละคนๆ ก็รักษาสภาพปกติของตนเมื่ออยู่เป็นปกติ จิตใจเป็นปกติแล้ว ไม่ว่าจะพูดจะทำอะไรจะคิดนึกในสิ่งทั้งหลายก็จะทำได้ราบรื่นดี
แต่ถ้าจิตใจไม่ปกติ เวลาที่พูดและทำก็จะเกิดความผิดปกติแล้วก็จะเกิดความขัดแย้งปั่นป่วนวุ่นวาย จะไปคิดทำการทำงานอะไรที่เป็นไปในทางที่ดีงามก็เป็นไปได้ยาก มีแต่จะนำไปสู่ความทุกข์มีแต่จะสร้างเวรสร้างกรรมให้มากขึ้น นี่ก็เป็นความหมายหนึ่งของคำว่า “ศีล” เช่นกัน
การที่สร้างบุญบารมีนอกจากจะเพื่อให้มีความสุขทั้งในภพนี้และภพหน้าแล้ว ควรรักษาศีลอันเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้ความชั่วมาเกาะกุมหัวใจโดยมีจุดประสงค์หลักไม่ให้เราไปก่อกรรมชั่วไปสร้างเจ้ากรรมนายเวรขึ้นมาใหม่อันจะเป็นการก่อทุกข์ให้กับทั้งตัวเราและผู้อื่น ในแง่ของผลกรรมที่จะส่งผลให้เกิดกับร่างกายเพียงเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ก็นับว่ามากมายจนน่ากลัวทีเดียว
โทษของการผิดศีลข้อ 1 ฆ่าสัตว์ หรือ ทรมานสัตว์
ผลกรรมของการผิดศีลข้อนี้จะทำให้อายุสั้นและต้องเผชิญกับโรคภัยมากมาย ดังเช่น ตัวอย่างของผู้ที่ต้องประสบเคราะห์กรรมป่วยเป็นโรคร้ายชนิดต่างๆ มากมายที่กล่าวไปแล้วว่าด้วยกรรมปาณาติบาต เคยทำให้ใครเจ็บและทรมานส่วนใดก็ต้อง ทรมานเช่นเดียวกับเขาเช่นเดียวกัน
เรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่ถูกนำมาเผยแพร่ทางสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือธรรมะ สื่ออินเตอร์เน็ตชื่อว่า กรรมจากการกินตะพาบน้ำ นั้นสามารถแสดงเรื่องราวที่มาที่ไปของผลแห่งการผิดศีลข้อที่
1 ได้ชัดเจน ผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้งหนึ่ง
“….ข้าพเจ้าไปเยี่ยมเยียนหมอน้องชายเล่าเรื่องแปลกของคนไข้รายหนึ่งให้ฟัง ซึ่งน่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้คนละบาปได้ดีจึงขอเล่าสู่กันฟังต่อ การสนทนาตอนหนึ่งหมอน้องชายเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่เป็นหมอมาไม่เคยเห็นผู้ป่วยรายใดต้องผ่าตัดทุลักทุเลซ้ำซากอย่างนี้เลย สามปีต้องผ่าตัดห้าครั้งและหนักหนายิ่งขึ้นทุกครั้ง
ผู้ป่วยรายนี้ชื่อ บุญมา ครั้งแรกที่เข้าโรงพยาบาลก็เพื่อมาทำแผลที่นิ้วก้อยที่ถูกตะพาบน้ำกัด หมอให้ทายากินยาแก้ปวดแก้อักเสบแล้วกลับบ้านดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอีก แต่ครึ่งเดือนต่อมาบุญมาต้องกลับมาใหม่แผลเก่าอักเสบรุนแรงบวมใหญ่กว่าเดิม
หมอตรวจพบว่าเชื้อโรคกินเข้ากระดูก จะต้องตัดนิ้วเพื่อไม่ให้เน่าลุกลาม ซึ่งนิ้วเท้านั้นอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ หลังจากนั้นครึ่งปีบุญมาไปเที่ยวชายทะเลเขาถูกตะพาบน้ำกัดที่นิ้วเท้าอีก อะไรจะเจาะจงได้ถึงอย่างนั้นนิ้วเท้าของบุญมาที่ถูกตะพาบน้ำกัดครั้งที่สอง เกิดการอักเสบบวมใหญ่ภายในเวลาสองวัน เมื่อมาฉายเอกซเรย์ที่โรงพยาบาลก็ได้พบอีกว่า เชื้อโรคกินเข้าไปถึงกระดูกหมดจึงต้องตัดนิ้วเท้าของเขาไปอีกหนึ่งนิ้ว
เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งปีบุญมากลับมาที่โรงพยาบาลอีก ครั้งนี้แผลเก่าทั้งสองแห่งเกิดอักเสบบวมใหญ่ขึ้นพร้อมกัน พอเอกซเรย์ก็พบว่าแย่แล้ว เชื้อโรคแพร่เข้าไปกินกระดูกอย่างรุนแรง เชื้อโรคนั้นกำลังกลายเป็นมะเร็ง จะต้องผ่าตัดฝ่ามือฝ่าเท้าออกให้หมดก่อน ที่จะลุกลามขึ้นไปอีก บุญมาต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่ โรงพยาบาลถึงยี่สิบกว่าวันด้วยสภาพของผู้ป่วยอวัยวะด้วน
วันหนึ่งลูกชายของญาติอุปสมบทบุญมาไปช่วยงาน คืนนั้นผู้ร่วมงานบวชนอนค้างที่วัดกันสี่ห้าสิบคน เคราะห์หามยามร้ายของบุญมายังไม่จบสิ้น หนูตัวหนึ่งเจาะจงมากัดตรงขาด้วนของบุญมาคนเดียวกัดแล้วก็หนีไป
บุญมาสะดุ้งตื่นด้วยความเจ็บปวดคนที่นอนอยู่ด้วยกันตกใจกับเสียงร้องพากันตื่นหมด แผลที่หนูกัดไม่กว้างไม่ลึกนักมีเลือดซึมออกมาแต่ทุกคนพากันตกใจที่อยู่ดีๆ ทำไมจึงมีหนูมากัดคนนอนหลับเพราะหนูจะกัดกินก็เฉพาะศพเท่านั้น ไม่กัดกินคนเป็นๆ ได้อย่างแน่นอน
เรื่องนี้ทำให้บุญมาขวัญเสียถูกเคราะห์กรรมซ้ำเติมจนคิดว่าตนคงจะต้องตาย ในไม่ช้า ซึ่งนับว่าเหตุการณ์ต่างๆ มันทารุณจิตใจมากไม่นานต่อมาเกิดอาการเจ็บคันบริเวณแผลเก่าที่มือที่เท้าอีก บุญมารีบมาหาหมอที่โรงพยาบาลโดยเร็ว
ผลการฉายเอกซเรย์ปรากฏว่าเชื้อมะเร็งกินลึกเข้าไปมาก หมอจำเป็นต้องจัดการตัดแขนขาทั้งท่อนของบุญมาทิ้งไป หมอน้องชายซึ่งเป็นเจ้าของคนไข้แปลกใจในชะตากรรมของบุญมานัก จึงสอบถามประวัติอย่างละเอียดอีกครั้งไว้และได้ความว่า
ตอนที่ บุญมามีอายุได้ยี่สิบสามปี มีอาชีพเกษตรกรรมและรับจ้างก่อสร้าง ชอบดื่มเหล้าเป็นประจำชอบรับประทานอาหารแกล้มเหล้าด้วยปลาน้ำจืด โดยเฉพาะเต่าและตะพาบน้ำ บุญมาเคยได้ยินมาว่าใครกินตะพาบน้ำได้สิบถึงยี่สิบตัวแล้ว ตลอดชีวิตจะไม่เป็นโรคไขข้ออักเสบอีกทั้งยังช่วยบำรุงไต
บุญมาจึงเพียรหาตะพาบน้ำมาผัดเผ็ดแกล้มเหล้าขาว เขากินตะพาบน้ำมาแล้วเกือบยี่สิบปี นับไม่ได้แล้วว่ากินเข้าไปได้กี่ตัว วันหนึ่งบุญมาไปซื้อตะพาบน้ำตัวใหญ่จากตลาดมา ตะพาบน้ำตัวนี้น้ำหนักตั้งสิบกว่ากิโลกรัม เขาดีใจมากตัวใหญ่ขนาดนี้ฆ่ากินทีเดียวไม่หมดจะต้องค่อยๆ กิน
และที่บ้านก็ไม่มีตู้เย็นให้แช่เก็บได้จึงต้องกินผ่อนทีละน้อย ตะพาบน้ำเป็นสัตว์อายุยืนอดทนไม่ตายง่ายๆ ไม่ว่าจะถูกกักขังอยู่ในสภาพใดก็อดทนมีชีวิตอยู่ได้เป็นปี บุญมาเห็นแก่กินไม่นึกถึงว่าตะพาบจะต้องทนทุกข์ทรมานนานเพียงไร ต้องเจ็บปวดแสนสาหัสครั้งแล้วครั้งอีก
เขาค่อยๆ ตัดเฉือนเนื้อตะพาบส่วนต่างๆ ตามความพอใจมาปรุงอาหารทีละชิ้นๆ บาดแผลรอบตัวตะพาบเขาทาด้วยปูนแดงที่กินกับหมากเพื่อไม่ให้เนื้อตัวตะพาบเน่า ตะพาบตัวนั้นต้องทนทุกข์ทรมานอยู่นานกว่าครึ่งเดือน จากนั้นบุญมาจึงประหารตะพาบตัวนั้นเอามากินเป็นมื้อสุดท้าย บุญมาพอใจกับวิธีที่จะได้กินเนื้อตะพาบสดๆ ทุกวันอย่างนี้เรื่อยมา
ผลสรุปประวัติผู้ป่วยที่โรงพยาบาลบันทึกไว้ในตอนท้ายมีอยู่ประโยคหนึ่งว่า เป็นประวัติที่แสดงให้เห็นกรรมตามสนองอย่างไม่น่าเชื่อที่ไม่มีข้อสรุปชัดเจนในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ปัจจุบัน…”
เรื่องราวของบุญมานับว่าเป็นอุทาหรณ์เรื่องกรรมแห่งการเบียดเบียนได้เป็นอย่างดี นี่คือเหตุแห่งการผิดศีลข้อ 1 เพียงเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์และความเห็นผิดเป็นตัวตั้ง
โทษของการผิดศีลข้อ 2 ลักทรัพย์
การผิดศีลข้อสอง อย่าได้ประมาทว่าจะเป็นเหตุให้เกิดโรคไม่ได้ ทุกครั้งที่เราได้เผลกระทำผิด คิดไม่ซื่อแอบขโมย ก็จะทำให้เกิดจิตตกลงกลายเป็นความ “หวาดผวา” ขึ้นมาเพราะได้ลักขโมยสิ่งของของผู้อื่นมา จึงเกรงว่าจะมีใครมาเห็น กลัวว่าจะมีใครมารู้ทำให้เกิดความกลัวคิดระแวงสงสัย ทั้งยังเกรงว่าจะถูกเจ้าของทรัพย์จับได้ นานๆ ไป จึงกลายเป็นโรคหวาดผวาหรือโรคประสาทได้ หากได้ยิ่งทำอยู่เป็นประจำแม้จะรู้สึกชินชาในขณะที่ทำ แต่ผลภายหลังอาจส่งผลให้เกิดโรคภาวะทางจิตประสาทได้ คนที่มีความเครียดและวิตกกังวลมากๆ ก็จะเป็นเหตุให้ป่วยเป็นโรคอื่นๆตามมา เสียทั้งทรัพย์เพื่อการรักษาและเสียใจ นับว่าเป็นผลร้ายแรงอย่างยิ่ง
โทษของการผิดศีลข้อ 3 ประพฤติผิดในกาม
ทำให้เกิดกามโรค หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เอดส์) เป็นต้น ซึ่งโรคเหล่านี้นับเป็นผลกรรมโดยตรงที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้แบบทันตาเห็น ส่วนผลกรรมที่เกิดจากการผิดศีลข้อที่ 3 ที่อาจเป็นเศษเวรเศษกรรมที่ติดมาก็อย่างเช่น ต้องป่วยเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ มะเร็งในรังไข่ หากเป็นกรรมหนักที่ได้ล่วงละเมิดต่อผู้ที่มีศีลธรรมสูงๆ อาจถึงขั้นต้องตัดอวัยวะเพศทิ้งเพราะเกิดการเน่าที่อวัยวะเพศ เป็นต้น
โทษของการผิดศีลข้อ 4 พูดโกหก
ผู้ที่ผิดศีลข้อนี้อยู่บ่อยๆ อาจส่งผลกรรมทำให้เกิดโรคความจำเสื่อม ผู้ที่โกหกมากๆ ในที่สุด แม้ตนเองจะพูดเรื่องจริงก็ยังสงสัยว่าเรื่องที่ พูดนั้นเป็นความจริงหรือโกหกกันแน่ ครั้นนานเข้าก็กลายเป็นคนไม่กล้าตัดสินใจ บางคนเป็นโรคหลงลืม หรือ ต้องป่วยด้วยภาวะอัลไซเมอร์ขั้นรุนแรง
รวมไปถึงผู้ที่มีอาการเป็นมะเร็งที่โคนลิ้นแบบเฉียบพลัน มือเท้าและปากชา ก็เพราะผลกรรมที่ก่อไว้ด้วยการผิดศีลข้อ 4 ซึ่งไม่ใช่แค่การโกหกเพียงอย่างเดียว รวมไปถึงการพูดจาให้ร้าย ด่าทอ ประชด หยาบคาย เพ้อเจ้อ โดยที่กลายเป็นผลกรรมหนักก็เพราะได้กระทำกับผู้ที่ทรงศีลมีคุณธรรมสูงๆ
โทษของการผิดศีลข้อ 5 ดื่มน้ำเมา
ผลกรรมตรงของการผิดศีลข้อนี้ ก็จะทำให้เกิดโรคพิษสุราเรื้อรัง ตับแข็ง มะเร็ง ฯลฯ หรือได้รับบาดเจ็บอันเกิดจากการทะเลาะวิวาท หากเป็นผลกรรมที่ติดมาจากอดีตอาจทำให้ต้องเจ็บป่วยทรมานเป็นทั้งโรคความจำเสื่อม สมองไม่ปกติ หรือเป็นบ้าได้
จากหนังสือเรื่อง เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ 5 บุญฤทธิ์ พิชิตโรคร้าย (โรคเวรโรคกรรม) โดย ฤทธิญาโณ และจิตตวชิระ
ใส่ความเห็น