“รักนั้นมีจริง แต่ยิ่งกว่านั้นคือกิเลส”
จาก วาทะดังตฤณ ฉบับความรักหลากสี
เมื่อเนื้อเรื่องได้มาถึงบทนี้แล้ว จะเห็นว่า ความรักเป็นเรื่องที่สับสนวุ่นวาย ซับซ้อนมากเรื่อง แต่อีกลักษณะหนึ่งของความรักกลับเรียบง่าย ไร้กฎเกณฑ์ นึกจะมาก็มา นึกจะจากไปก็จากไป ง่ายๆ ฟรีสไตล์ ในเมื่อความรักมีทั้งความง่ายและความยากอยู่ในตัว และบุคคลที่ต้องการมันก็มีทั้งความโหยหาและเบื่อหน่ายในเรื่องราวของความรักเช่นกัน
มีนิทานว่าในค่ำคืนแห่งมรสุม มีคนผู้หนึ่งเดินโซเซด้วยความเหนื่อยและอิดโรย ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างรุนแรงและลมก็แรงมาก ทั้งลมและฝนกระหน่ำคนๆ นี้เสียจนมองไม่ออกว่าเขาเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย คนผู้นี้เดินฝ่าสายฝนลมกระหน่ำด้วยความเจ็บปวดเนื้อกาย ใจแทบจะขาดด้วยความเหนื่อยอ่อน คนผู้นี้อยากพักเหลือเกิน ทุกย่างก้าวช่างหนักอึ้งและก้าวด้วยความยากเย็น แต่ยังพาตัวเดินก้าวไปข้างหน้าด้วยความยากลำบาก ผ่านถนนสายหนึ่งที่เรียงรายเต็มไปด้วยบ้านเรือนของคนอยู่ คนผู้นี้เหลือบมองประตูหน้าบ้านด้วยความโหยหิวอ่อนล้า อยากจะพักใจเหลือเกิน ช่างเหนื่อยแทบใจจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่ยังอดทนก้าวเดินต่อไป ผ่านถนนจนนับสายไม่ถ้วน ผ่านประตูบ้านที่นับหลังไม่ถ้วน จนกระทั่งขาแทบก้าวไม่ไหวแล้ว คนผู้นี้จึงเปล่งเสียงออกมาว่า
“สู้ทนฝ่าลมฝนอย่างเดียวดายมาแสนนาน ขาแทบก้าวไม่ไหวแล้ว ถ้าเดินต่อก็คงจะล้ม แทบหมดแรงจะสู้แล้ว เปิดประตูรับหน่อยได้ไหม?”
ท่านผู้อ่านคงพอเดาออกแล้วว่า นิทานเรื่องนี้ไม่มีจุดจบ มันเป็นนิทานเปรียบเทียบ ผู้ที่โหยหาความรักฉันท์หนุ่มสาวนั่นเอง ทุกๆ คน แม้แต่ผู้ที่จรดปลายนิ้วบรรจงสร้างเรื่องเพื่อท่านผู้อ่านคนนี้ ก็โหยหาต้องการให้ใครสักคนเปิดประตูบ้านรับเช่นกัน
เมื่อท่านผู้อ่านทุกท่านทราบเนื้อหาเรื่องราวของกรรมแห่งความรักแล้ว ต่อมาผู้อ่านทุกท่านจะพบกับวิบากกรรมแห่งความรักพร้อมกับวิธีการแก้ไขวิบากกรรมตามหลักวิธีการสร้างบุญแห่งศาสนาพุทธ ที่เป็นหลักเหตุผลตามกฎแห่งกรรม ที่จะช่วยทุกท่านให้บรรลุความตั้งใจด้วยหลักการเพียงข้อเดียวคือ ทำดีต้องได้ดี ตามหลักการตามกฎแห่งกรรมอย่างแท้จริง
จากหนังสือเรื่อง ชำแหละกรรม ที่มาจากความรัก โดย จุฑา จิรชีวะ
ใส่ความเห็น