เริ่มจากคำว่าเนื้อคู่แท้นั้น ในนิยามความหมาย ก็น่าจะเป็นคู่ที่ทำให้ชีวิตของทั้งสองคนนั้นมีความสุข ความเจริญ ไม่มีการขัดแย้งกันรุนแรงทั้งใน ๔ ด้าน รวมถึงมีความเสมอกันหรือใกล้เคียงกันทั้งศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา และร่วมกันทำกรรมดี ละเว้นความชั่ว และช่วยกันประกอบอาชีพสุจริตหาทรัพย์ รักษาทรัพย์และใช้ทรัพย์นั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับตนและคนอื่น
มีการดำรงชีวิตอยู่ในกรอบศีลธรรมอันดี มีเกียรติที่พึงมี รู้จักเคารพคนที่ควรเคารพ รู้จักกาล รู้จักรับผิดชอบในการงาน ไม่เกียจคร้าน อันนี้พูดถึงหลักของการเป็นคนดีของคนสองคนที่ต้องช่วยกันประคับประคอง
แต่ในความเป็นจริง ตามกิเลสพื้นฐานของมนุษย์นั้น ยังไม่หลุดพ้นจากการกิน กาม และเกียรติ ซึ่งมาจากรูป รส กลิ่น เสียง ของพวกนี้มันไม่เที่ยง มันเสื่อมไปตามกาลเวลา นอกจากกรรมดีเท่านั้นที่ไม่กาลเวลา จึงต้องระมัดระวัง เป็นอย่างยิ่งในการดูเนื้อคู่
ถ้าเข้าข่ายที่เราไม่พึงประสงค์แล้ว ประเภททำกรรมชั่วมากกว่ากรรมดี ขอบอกว่าคำเดียวว่า จงหลีกหนีไปให้ห่างเสีย เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง อย่าเอาตัวไปเล่นกับไฟนรกเป็นอันขาด
อย่าไปหวังว่าจะไปเปลี่ยนแปลงเขาหรือเธอได้ มันยากมากๆ เพราะเป็นวิบากกรรมของเขาส่วนหนึ่ง รวมถึงมีกรรมลิขิตเอาไว้แล้วว่า เขาต้องมีสภาพแบบนี้ สิ่งที่จะเปลี่ยนคนได้ ก็คือ กรรมดี ซึ่งจะทำให้เขาได้รับอานิสงส์ของบุญ ในเรื่องการดูเนื้อคู่ มีเรื่องมาเล่าให้ฟังเพื่อที่จะเข้าใจได้ง่ายๆ ยิ่งขึ้น
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพราหมณ์เลือกลูกเขยคนหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า …
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ในเมืองตักกสิลา มีพราหมณ์คนหนึ่งมีลูกสาว ๔ คน แต่ละคนมีรูปร่างสวยงามเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั่วไป
ในบรรดาชายหนุ่มที่มาจีบลูกสาวของพราหมณ์นั้นมีชายหนุ่ม ๔ คนที่เข้าตากรรมการของพราหมณ์ คือ คนที่ ๑ ก็เป็นคนรูปหล่อ คนที่ ๒ ก็มีอายุมากแต่ดูเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ดี ส่วนคนที่ ๓ เป็นลูกชายเศรษฐีตระกูลดี คนที่ ๔ เป็นคนมีศีลธรรม
พราหมณ์คิดหนักใจว่าจะเลือกใครเป็นลูกเขยดี เพราะทั้ง ๔ คน ก็มีความดีแตกต่างกันไป เขาจึงตัดสินใจไปปรึกษาอาจารย์ทิศาปาโมกข์ และกราบเรียนท่านอาจารย์ไปว่า
“ท่านอาจารย์ครับ ผมมีเรื่องกลุ้มอกกลุ้มใจมาก อยากจะขอมาปรึกษาอาจารย์เสียสักนิด คือ ตัวผมนั้นมีลูกสาวอยู่สี่คน มาบัดนี้ก็โตที่พอจะออกเรือนได้แล้ว ถ้าลูกสาวได้คนที่ดีเป็นคู่ครอง ตัวผมก็จะได้นอนตายตาหลับหมดห่วงไปเสียที
และในตอนนี้ ผมมีชายหนุ่มอยู่ ๔ คนที่เข้าตา ที่อยากจะยกลูกสาวให้ แต่ตัวผมก็จนใจไม่รู้จะยกให้คนไหนดีครับท่านอาจารย์”
“ไหน ลองเล่ามาให้ฟังหน่อยว่า ผู้ชายทั้งสี่นั้นมีดีอะไรบ้าง ที่ทำให้ท่านผู้เป็นพราหมณ์นั้นตัดสินใจไม่ถูก” ท่านทิศาปาโมก์ ถามและพราหมณ์ก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
“คืออย่างนี้ครับอาจารย์ คนที่ ๑ นั้นเป็นรูปหล่อ วาจาไพเราะอ่อนหวาน ลูกสาวผมได้อยู่ด้วยก็คงจะมีความสุข ได้อยู่กับสิ่งสวยๆ งามๆ น่าบันเทิงเริงรมย์ไปตลอดชีวิต
ส่วนคนที่ ๒ นั้นเป็นคนอายุมากแล้ว คงจะมีประสบการณ์ในชีวิตที่มาก คงจะเข้าใจและให้อภัยลูกสาวผมได้ เมื่อยามทำอะไรที่ผิดข้องหมองใจ ไม่ทำร้ายลูกสาวให้เจ็บช้ำน้ำใจ
คนที่ ๓ ก็ ดูเป็นลูกผู้ดี และเกิดในชาติตระกูลที่สูงและร่ำรวย คงจะทำให้ลูกสาวผมมีหน้ามีคา มีฐานะกินอยู่อย่างสบายได้ในสังคมไม่ต้องไปอายใครเลย
ส่วนคนที่ ๔ นั้นเป็นคนมีศีล มีธรรม คงจะทำให้ลูกสาวผม ได้มีความสุขที่ถูกต้องในชีวิต ถ้าอาจารย์เป็นผม ท่านอาจารย์จะเลือกเอาคนไหนดีครับ ?”
พระโพธิสัตว์พูดตอบว่า
“ฟังให้ดีๆ นะ คนไม่มีศีลถึงมีรูปสมบัติก็น่าตำหนิ ดังนั้น รูปสมบัตินี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญเมื่อมันถึงกาลเวลาก็เปื่อยเน่าเหม็น และสมบัติพัสถานนั้นมันสามารถหาขึ้นมาได้ถ้ามีความเพียร
ความมีชาติตระกูลสูงนั้น ก็เหมือนกัน มันเกิดขึ้นมาเพราะคนนั้นมีศีลธรรม จริยธรรม และคุณธรรมคนเขาถึงยกย่อง ถ้าฉันเป็นพราหมณ์นะ
ฉันจะเลือกคนมีศีลเป็นลูกเขยเพราะจะได้ทุกอย่างทั้งคุณสมบัติ รูปสมบัติ ตามมาอย่างแน่นอน”
พราหมณ์ฟังแล้วชอบใจ พอกลับไปถึงบ้านจึงตัดสินในยกลูกสาวทั้ง 4 คน ให้แก่คนผู้มีศีลไปเรื่องก็จบไปด้วยประการฉะนี้แล”
เราคงเห็นอะไรกันบ้างในนิทานที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าไว้ ว่า คนที่มีศีล มีธรรมนั้น แม้จะเกิดในชาติตระกูลที่ยากจน ไร้การศึกษา ไม่ต้องมีรูปเป็นทรัพย์หรือหล่อมาก แต่ของเหล่านี้ คนที่มีศีลธรรมนั้นสามารถสร้างขึ้นมาได้
แต่ในทางกลับกันคนทั้งสามประเภทแรกที่มีแค่กิน กาม เกียรตินั้นถึงแม้จะรวย หล่อ ความรู้ดี แต่ถ้าไม่มีศีลธรรม ทรัพย์เหล่านั้นมันหมดไปได้โดยง่าย ลองตรองดูว่าจะเลือกเนื้อคู่ในแบบใดเป็นคู่ครองของเรา
ใส่ความเห็น