ผมเคยฝึกทำสมาธิตั้งแต่เด็กๆ จากหลากหลายวิธีการ และเรียนรู้มาจากครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพว่า การทำสมาธินั้นมีหลายวิธี เราจะทำวิธีทำสมาธิวิธีไหนก็ได้ บางคนใช้วิธีนั่ง หลายคนนอนเพราะร่างกายไม่สามารถนั่งได้ หรือจะเดินจงกรม หรือหยุดยืนนิ่งทำได้ทั้งนั้น และจะใช้อุบายอะไรก็ได้ จะใช้วิธีภาวนาตามจริตของเราแบบใดก็ได้ เพราะจุดมุ่งหมายของเราก็คือขอให้จิตเราสงบแล้วมีสติกำกับไว้ก็พอ
ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ว่าเราจะทำสมาธิเวลาก็ได้ เช้าค่ำ บ่ายสาย แต่ต้องอยู่ในสภาวะที่ร่างกายพร้อม ไม่อ่อนเพลียจากการทำงานหนักจนเกินไป เพราะจะไม่ได้ผลดีในการทำสมาธิครั้งนั้น การทำงานหนักนั้นมีทั้งทางจิตที่ต้องพบกับเรื่องกระทบสะเทือนใจหรือรุนแรง และการทำงานหนักของร่างกายที่ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ
การเดินสายกลางตามหลักของพระพุทธองค์ เราต้องเรียนรู้และปรับมาใช้ในทุกเรื่องของชีวิตและการฝึกจิตนั้น การเหมือนกับการออกกำลังกาย คือ เริ่มฝึกจากทีละน้อย เพิ่มขึ้น จนถึงในสภาวะที่จิตแข็งแรง เหมือนกล้ามเนื้อที่ได้รับการเคลื่อนไหวตลอด วันหนึ่งมันก็จะฟิตแข็งแรงขึ้นมา
การสวดมนต์และเจริญภาวนานั้นเป็นอุบายในการฝึกจิตที่ครูบาอาจารย์ท่านค้นพบ และการภาวนาไม่ว่าจะเป็นการนั่งสายพุทโธ สัมมาอรหัง ยุบหนอ พองหนอ ซึ่งก็ดีกับการฝึกจิตทั้งนั้น และตัวผมเองก็ได้ลองมาหลายสำนักแล้วทั้งของวัดมหาธาตุ แบบธรรมกาย และแบบของหลวงพ่อฤาษีลิงดำหรือพระราชพรหมยาน
หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จังหวัดอยุธยา ผมขออนุญาตหลวงพ่อในครั้งนี้ที่จะเอามาวิธีการทำสมาธิทั้งนั่งและนอนเผยแพร่เพื่อเป็นแนวทางการทำสมาธิที่ผมเห็นว่าได้ผลเป็นจริตตรงกับผมและจะเกิดผลบุญเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านต่อไป ถือเป็นการแสดงมุตาจิตต่อครูบาอาจารย์นำเอาวิทยาทานมามอบให้แก่ทุกคน ขออนุโมทนานะครับหลวงพ่อที่เคารพ
การนั่งสมาธิ
วิธีนั่ง ให้นั่งขัดสมาธิ คือ ขาขวาทับขาซ้าย นั่งตัวตรง หลับตา เอาสติมาจับอยู่ที่สะดือที่ท้องพองยุบ เวลาหายใจเข้าท้องพอง กำหนดว่า พอง หนอ ใจนึกกับท้องที่พองต้องให้ทันกัน อย่าให้ก่อนหรือหลังกัน หายใจออกท้องยุบ กำหนดว่า ยุบ หนอ ใจนึกกับท้องที่ยุบต้องทันกัน อย่าให้ก่อนหรือหลังกัน
ข้อสำคัญให้สติจับอยู่ที่ พอง ยุบ เท่านั้น อย่าดูลมที่จมูก อย่าตะเบ็งท้องให้มีความรู้สึก ตามความเป็นจริงว่าท้องพองไปข้างหน้า ท้องยุบมาทางหลัง อย่าให้เห็นเป็นไปว่า ท้องพองขึ้นข้างบน ท้องยุบลงข้างล่าง ให้กำหนดเช่นนี้ตลอดไป จนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนดจะต้องมีความอดทนเป็นการสร้างขันติบารมี ไปด้วย ถ้าผู้ปฏิบัติขาดความอดทนเสียแล้ว การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นก็ล้มเหลว
ในขณะที่นั่งอยู่นั้น ถ้ามีความเจ็บ ปวด เมื่อย คันๆ เกิดขึ้นให้หยุดเดิน หรือหยุดกำหนดพองยุบ ให้เอาสติไปตั้งไว้ที่เวทนาเกิด และกำหนดไปตามความเป็นจริงว่า ปวดหนอๆๆ เจ็บหนอๆๆ คันหนอๆๆ เป็นต้น ให้กำหนดไปเรื่อยๆ จนกว่าเวทนาจะหายไป เมื่อเวทนาหายไปแล้ว ก็ให้กำหนดนั่งต่อไป
จิต เวลานั่งอยู่หรือเดินอยู่ ถ้าจิตคิดถึงบ้าน คิดถึงทรัพย์สินหรือคิดฟุ้งซ่านต่างๆ นาๆ ก็ให้เอาสติปักลงที่ลิ้นปี่พร้อมกับกำหนดว่า คิดหนอๆๆๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตจะหยุดคิด แม้ดีใจ เสียใจ หรือโกรธ ก็กำหนดเช่นเดียวกันว่า ดีใจหนอๆๆๆ เสียใจหนอๆๆๆ โกรธหนอๆๆๆ เป็นต้น
การทำสมาธิเวลานอน
เวลานอนค่อยๆ เอนตัวนอนพร้อมกับกำหนดตามไปว่า นอนหนอๆๆๆ จนกว่าจะนอนเรียบร้อย ขณะนั้นให้เอาสติจับอยู่กับอาการเคลื่อนไหวของร่างกาย เมื่อนอนเรียบร้อยแล้วให้เอาสติมาจับที่ท้อง แล้วกำหนดว่า พองหนอ ยุบหนอ ต่อไปเรื่อยๆ ให้คอยสังเกตให้ดีว่า จะหลับไป ตอนพอง หรือตอนยุบ
อิริยาบถต่างๆ การเดินไปในที่ต่างๆ การเข้าห้องน้ำ การเข้าห้องส้วม การรับประทานอาหาร และการกระทำกิจการงานทั้งปวง ผู้ปฏิบัติต้องมีสติกำหนดอยู่ทุกขณะในอาการเหล่านี้ ตามความเป็นจริง คือ มีสติ สัมปชัญญะ เป็นปัจจุบัน อยู่ตลอดเวลา
เคยมีคนถามหลวงพ่อฤษีลิงดำว่า เขาไม่สามารถที่จะนั่งสมาธิได้จิตใจไม่สงบนิ่งพอ หลวงพ่อท่านก็เมตตาตอบไปว่า
“ต้องฝึกให้ชำนาญนะ จึงจะทำได้ เหมือนเช่นนักมวยนั่นแหละแม้จะมีพี่เลี้ยงไปยืนตะโกนสอนอยู่ข้างเวทีให้ฮุคขวา ฮุคซ้าย เตะก้านคอ ศอก เข่า เขาก็ทำไม่ได้นะ หากมิได้ฝึกซ้อมจนเกิดความชำนาญมาก่อน
ดังนั้นหากใครก็ตามสามารถฝึกกรรมฐานได้จนช่ำชอง ก็อาจสามารถกำหนดจิตไปวางอยู่ ณ ที่ใดก็ได้นะ ยิ่งฝึกมาก จิตก็ยิ่งเชื่องนะ แม้ทำกรรมชั่วไว้มาก ทำกรรมดีไว้แต่เพียงน้อยนิด เขาก็สามารถกำหนดจิตของเขาไปวางไว้ในส่วนของกรรมดีได้ โอกาสลงนรกเขาจึงไม่มี
และเมื่อเขาได้มีโอกาสได้อยู่ในกลุ่มของคนดี เขาก็มีโอกาสสร้างกุศลผลบุญได้มาก และในทุกครั้งที่สร้างกรรมดี ถ้าเขาอุทิศส่วนกุศลผลบุญให้แก่เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ หากเจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นไม่ถือผูกโกรธ พยาบาท และอภัยให้ เขาก็อาจจะไม่ต้องไปชดใช้กรรมชั่วเลยก็ได้นะเสมือนหนึ่งเจ้าหนี้ ซึ่งเห็นคุณงามความดีของคุณ แล้วไม่ติดใจทวงหนี้คืนจากคุณนั่นแหละ คุณก็ไม่ต้องหาเงินไปใช้หนี้เขาใช่ไหม?” หลวงพ่อเคยอธิบายในเรื่องนี้อย่างชัดเจน
วิธีการทำสมาธิขออโหสิกรรมให้ตัวเอง
เริ่มทำสมาธิโดยทำจิตให้นิ่ง สาเหตุที่ต้องเริ่มจากตรงนี้ ก็เพื่อจะ เพื่อปรับสภาพตัวเราให้เหลือเพียงจิต เหมือนเจ้ากรรมนายเวรที่เราต้องการไปขออโหสิกรรม คือเปลี่ยนสภาพตัวเราให้เหมือนวิญญาณ ไปสื่อสารกับเขาได้
เพราะฉะนั้นเราจะทำวิธีทำสมาธิวิธีไหนก็ได้ บางคนใช้วิธีนั่ง หลายคนนอนเพราะร่างกายไม่สามารถนั่งได้ หรือจะเดินจงกรม หรือหยุดยืนนิ่งทำได้ทั้งนั้น และการจะใช้วิธีภาวนาตามจริตของเราแบบใดก็ได้อย่างที่เคยบอก ทั้งพุทโธ ยุบหนอ จุดมุ่งหมายของเราก็คือ ขอให้สงบแล้วมีสติกำกับไว้ก็พอ เมื่อเราทำสมาธิเข้าที่แล้ว เรารู้สึกว่าจิตมันเริ่มนิ่งแล้ว
ในขั้นตอนที่ ๑ เราต้องเริ่มต้นจากการสวดเพื่อเป็นการรำลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และการสมาทานศีล ๕ เพื่อเป็นฐานบุญเบื้องต้นของเราเสียก่อน เราเริ่มจากบทสวดดังนี้
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา
พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ)
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม
ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สังฆัง นะมามิ (กราบ)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
คำอาราธนาศีล ๕
มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ
ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ
ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ
และสมาทานศีล ๕ เมื่อเราสมานศีลเสร็จแล้วให้กล่าวตามใบขออโหสิกรรม
คำที่อยู่ในใบอโหสิกรรมนี้ เราจะอ่านแบบออกเสียงก็ได้ หรือจะอ่านในใจก็ได้ ในกรณีที่ทำสมาธิที่มีคนพลุกพล่าน เช่นในที่ทำงาน ในรถประจำทาง ฯ ให้เริ่มอ่านแล้วทำจิตให้ตามไปถึงสิ่งที่เรากำลังอ่านอยู่
เริ่มจาก…
ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระคุณของครูบาอาจารย์และผู้มีพระคุณ และบุญกุศลทั้งหมดที่เคยทำมาในอดีตชาติ ชาติปัจจุบันและในอนาคต ( ที่ต้องทำการอธิษฐานขออำนาจบุญบารมีนี้ก็เพื่อให้ท่านมาคุ้มครองเราในขณะที่เราทำสมาธิอยู่ เพราะในโลกที่แตกต่างจากเราไปนั้นเต็มไปด้วยวิญญาณต่างๆ มากมายทั้งประสงค์ดีและประสงค์ร้าย เราไม่ต้องไปกลัว ให้นึกอยู่เสมอว่าในเวลานี้เราทั้งมีพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ และบุญกุศลมหาศาลที่เราเคยทำและอยู่เหนือเจ้ากรรมนายเวรหลายชั้น และในขณะที่เราทำสมาธินี้บุญบารมีจะคุ้มครองเราอยู่เป็นเกราะเพชรชั้นดีที่ไม่มีใครสามารถจะเจาะเข้ามาได้)
ถึงเจ้ากรรมนายเวร ขณะนี้ลูก/ข้าพเจ้า…………………….( เอ่ยชื่อตัวเองบางคนเปลี่ยนชื่อ ใช้ชื่อปัจจุบันก็ได้ เจ้ากรรมนายเวรเขาตามเราที่จิต จะเปลี่ยนรูปร่างหน้าตา หรือเปลี่ยนชื่ออย่างไร เขาก็รู้ทั้งนั้น)
กำลังทำสมาธิ เจริญภาวนาถึงเจ้ากรรมนายเวรของลูก /ข้าพเจ้า( ควรบอกเจาะจงชื่อเจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิตแนะนำว่าหากระดาษมาจดเตรียมชื่อเหล่าเตรียมไว้ก่อนเพื่อให้ได้ผลดีและที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรที่เป็นวิญญาณถ้าเรารู้แล้ว และต้องการไปขออโหสิกรรมต่อเขาหรือถ้าเรายังนึกไม่ออกและไม่รู้จริงๆ อยากจะบอกแบบครอบคลุมก่อนก็ได้) เทวดาใกล้ตัว คนใกล้ตัว สัตว์ใกล้ตัว ญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี ที่มาถึงตัวแล้วและกำลังจะมาถึงตัว
ในชาตินี้ บัดนี้ ลูก/ข้าพเจ้ารู้ดีแล้วว่า ได้สร้างกรรมทำเข็ญไว้มากมายให้แก่ท่านให้ท่านได้รับการพลัดพรากจากสิ่งที่ท่านรัก ทำให้ท่านต้องสูญเสียคนรัก ของรัก หรือชีวิต และทุกสิ่งที่ลูก/ข้าพเจ้าได้ทำไปกับท่านทั้งในอดีตชาติ ชาติปัจจุบัน และในอนาคต( ในบางคนที่สมาธิดีจะเห็นภาพที่เจ้ากรรมนายเวรเขาอยากจะให้เราเอ่ยปากขอโทษ ไม่ต้องไปกลัว ให้นึกอยู่เสมอว่าในเวลานี้เรามีพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณคุ้มครองเราอยู่ การที่เราพูดถึงอนาคตเพื่อเป็นการไปขออโหสิกรรมล่วงหน้า เพื่อไม่ให้เกิดกรรมที่เราอาจไม่รู้ตัว เป็นการผ่อนหนักเป็นเบาและไม่ประมาทในกรรม )
ซึ่งมาในบัดนี้กรรมดังกล่าวกำลังส่งผลให้กับลูก/ข้าพเจ้า ทำให้ลูก/ข้าพเจ้าประสบกับ…………( บอกทุกเรื่องที่ทำให้เราเป็นทุกข์ ทั้งเรื่องการเจ็บป่วย การงาน การเงิน การค้าที่ติดขัด ขอย้ำวาต้องทุกเรื่อง เพื่อให้เจ้ากรรมนายเวรในเรื่องต่างๆ ที่มีหลายชุดหลายเรื่อง ได้รับรู้เหมือนกับเราบอกให้เขารับรู้ในสภาวะเป็นจริงว่า เรากับอดีตชาตินั้นเป็นคนละคนกัน เราไม่สามารถรู้ว่าชาติก่อนเราทำอะไรไว้ แต่ผลกรรมยังตามมาอยู่ ตอนนี้เรารู้แล้วว่าผลกรรมมีจริง จากการที่ลูกประสบปัญหาต่างๆ )
และลูก/ข้าพเจ้าได้สำนึกผิดแล้ว สำนึกในบาปบุญคุณโทษที่เคยทำมา ถ้าท่านพอใจการทำสมาธินี้และบุญกุศลที่ลูก/ข้าพเจ้าได้อุทิศไปให้ท่านตลอดเวลาที่ผ่านมาและจะกระทำอุทิศบุญกุศลไปให้ท่านตลอดไปนับแต่บัดนี้
และให้อโหสิกรรมต่อท่านทั้งหลาย และขอให้ท่านได้อโหสิกรรมให้ลูก/ข้าพเจ้าด้วยนี้ ขอให้หนี้เวรหนี้กรรม เศษเวรเศษกรรมที่มีอยู่จงหมดสิ้นกันไปนับตั้งแต่บัดนี้ และขอให้ท่านนำเอาสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับลูก/ข้าพเจ้ากลับคืนไปด้วย
และเมื่อเรากล่าวคำขออโหสิกรรมทั้งหมดเสร็จสิ้น อย่างเพิ่งออกจากสมาธิ ต้องทำการอุทิศบุญและแผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวรอีกครั้ง ก็จะถือว่าเราทำการขออโหสิกรรมเสร็จสิ้นสมบูรณ์
วิธีการทำสมาธิขออโหสิกรรมให้ผู้อื่น
การทำสมาธิอโหสิกรรมนั้นนอกจากที่เราจะทำให้กับตัวเราเองแล้ว เราสามารถทำให้ผู้อื่นได้ด้วย แต่ต้องเป็นญาติสายตรงเท่านั้น เป็นพ่อแม่ พี่น้อง ตามสายเลือด เพราะเนื่องจากคนเหล่านี้นั้นเป็นผู้ที่มีความผูกพันกันอย่างใกล้ชิดในอดีตชาติที่ผ่านมา เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราด้วย และด้วยบุญกุศลที่มีการทำร่วมกันมาจึงมาเกิดในสายเลือด มีความใกล้ชิด มีส่วนประกอบของบุญและกรรม เลือดเนื้อจากแหล่งเดียวกัน และในบางวิบากกรมนั้นเรามีส่วนร่วมอยู่ในเหตุนั้นๆ ด้วย
การทำการทำสมาธิขออโหสิกรรมให้ผู้อื่น ทำได้ในกรณีที่คนเหล่านี้เจ็บป่วยจนไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ไม่สามารถทำสมาธิได้ อาจจะหมดสติ หรือมีวิบากกรรมขวางไว้ วิธีที่ทำนั้นเหมือนกันทุกประการเพียงเพิ่มเติมชื่อคนที่เหล่าจะทำแทนให้เปลี่ยนคำจาก
ถึงเจ้ากรรมนายเวร ขณะนี้ลูก/ข้าพเจ้า…………………….( เอ่ยชื่อตัวเอง) กำลังทำสมาธิ เจริญภาวนาถึงเจ้ากรรมนายเวรของ…..(เอ่ยชื่อคนที่เราทำสมาธิอโหสิกรรมแทน และถึงแม้เขาจะเปลี่ยนชื่ออย่างไรก็ใช้ได้ทั้งนั้นทั้งชื่อเก่าชื่อใหม่ และจะใช้ชื่อปัจจุบันก็ได้ อย่างที่บอกเจ้ากรรมนายเวรก็รู้ทั้งนั้น)
ซึ่งมาในบัดนี้กรรมดังกล่าวกำลังส่งผล…………..( บอกทุกเรื่องที่ทำให้คนที่เราทำแทนเป็นทุกข์ ทั้งเรื่องการเจ็บป่วย การงาน การเงิน การค้าที่ติดขัด ขอย้ำวาต้องทุกเรื่อง เพื่อให้เจ้ากรรมนายเวรในเรื่องต่างๆ ที่มีหลายชุดหลายเรื่อง ได้รับรู้เหมือนกับเราบอกให้เขารับรู้ในสภาวะเป็นจริงว่า คนที่เราทำแทนนั้นกับอดีตชาตินั้นเป็นคนละคนกัน ไม่สามารถรู้ว่าชาติก่อนได้ทำอะไรไว้ แต่ผลกรรมยังตามมาอยู่ ตอนนี้คนที่เราทำแทนรู้แล้วว่าผลกรรมมีจริง จากการที่เขาต้องประสบปัญหาต่างๆ )
และ………… …..(เอ่ยชื่อคนที่เราทำสมาธิอโหสิกรรมแทน ได้สำนึกผิดแล้ว สำนึกในบาปบุญคุณโทษที่เคยทำมา ถ้าท่านพอใจการทำสมาธินี้และบุญกุศลที่ลูก/ข้าพเจ้าได้อุทิศไปให้ท่านตลอดเวลาที่ผ่านมาและจะกระทำอุทิศบุญกุศลไปให้ท่านตลอดไปนับแต่บัดนี้
และให้อโหสิกรรมต่อท่านทั้งหลาย และขอให้ท่านได้อโหสิกรรมให้……….…..(เอ่ยชื่อคนที่เราทำสมาธิอโหสิกรรมแทน ) ด้วยนี้ ขอให้หนี้เวรหนี้กรรม เศษเวรเศษกรรมที่มีอยู่จงหมดสิ้นกันไปนับตั้งแต่บัดนี้ และขอให้ท่านนำเอาสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับ………. …..(เอ่ยชื่อคนที่เราทำสมาธิอโหสิกรรมแทน )กลับคืนไปด้วย
และเมื่อเรากล่าวคำขออโหสิกรรมทั้งหมดเสร็จสิ้น อย่างเพิ่งออกจากสมาธิ ต้องทำการอุทิศบุญและแผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคนที่เราทำแทนอีกครั้ง ก็จะถือว่าเราทำการขออโหสิกรรมเสร็จสิ้นสมบูรณ์
ที่สำคัญเราสามารถที่จะทำสมาธิอโหสิกรรมนี้ได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ และทำได้วันละหลายๆ ครั้ง ยิ่งทำมาก ก็เหมือนกับเราเพียรพยายามเอาหนี้ไปชดใช้เขาตลอดเวลา เจ้ากรรมนายเวรเขาจะพอใจเป็นอย่างมาก และอโหสิกรรมให้เราแน่นอน วิบากกรรมที่เราได้รับจะหมดสิ้นไปในไม่ช้า
อย่าด่วนใจร้อน ทำแค่วันสองวันสิบวันจะสำเร็จลงได้อย่างไร เพราะกรรมที่เราทำไว้กับเขา มันมากมายนัก หลายร้อยชาติ จึงมีเจ้ากรรมนายเวรหลายร้อยชุดเช่นกัน เมื่อชุดไหนเขายินดีในสิ่งที่เราทำเขาก็จากไป ชุดใหม่ก็เขามา พยายามทำไปทุกๆ วันเหมือนเราเตรียมพร้อมไว้เสมอสำหรับกรรม
ใส่ความเห็น