ในสมัยพุทธกาลนั้นคนทั่วๆ ไปจะถือศีล 5 เป็น “อย่างน้อย” และได้ปฏิบัติกันประจำกันไม่ขาดถือเป็นเรื่องปกติจัดเป็นส่วนหนึ่งของ มนุษยธรรม 10 ประการคือถ้าใครปฏิบัติได้ครบตามธรรม 10 ประการก็ถือว่าอยู่ในแดนของมนุษย์ แต่ถ้าทำไม่ถึงความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ก็จะลดลงไป จนเรียกว่า “คน” ที่แปลว่า ยุ่ง
หลักมนุษยธรรม 10 ซึ่งรวมศีล 5 เข้าไปด้วยเรียกอีกอย่างว่า กุศลกรรมบถ 10ประการคือ การไม่คิดจะฆ่าสัตว์ ไม่คิดจะลักทรัพย์ ไม่คิดจะละเมิดความรักของบุคคลอื่น ซึ่งหมวดนี้เป็น มนุษยธรรมทางร่างกาย ในด้านธรรมทางวาจา ก็คือ การไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียดให้คนอื่นต้องแตกร้าวกัน ไม่พูดวาจาเพ้อเจ้อเหลวไหล และหมวดสุดท้ายคือหมวดธรรมด้านจิตใจ คือ ไม่คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของใครโดยไม่ชอบ (ไม่โลภ) ไม่คิดพยาบาทจองล้างจองผลาญใคร (ไม่โกรธ) และ มีความเห็นตรงตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้ (ไม่หลงผิด)
อ่านมาถึงตรงนี้ ขอให้ลองหยุดคิดสักนิดแล้วสำรวจตัวเองว่าตอนนี้เรามีความเป็นมนุษย์อยู่มากน้อยแค่ไหนโดยพิจารณาเอาจากข้อปฏิบัติในศีลที่มีอยู่ในตัวนี่แหละว่า ปัจจุบันนี้เรารักษาศีลได้กี่ข้อ หากยิ่งรักษาได้มากข้อเท่าไหร่ก็ยิ่งเข้าใกล้ความเป็นมนุษย์มากขึ้นเท่านั้น
แต่ศีลก็ไม่ได้มีแค่ 5 ข้อซึ่งเป็นเพียงข้อปฏิบัติแห่งความเป็นมนุษย์ขั้นพื้นฐานหากใครได้รักษาศีลได้มากกว่านั้นขึ้นไปก็จะได้สร้างบุญในอานิสงส์ที่ใหญ่กว่า คือ ศีลระดับกลางอย่าง ศีล 8 ของพวกแม่ชีหรือผู้ครองพรหมจรรย์ ศีล 10 ของเหล่าสามเณรและ สุดท้ายคือศีลระดับสูงอย่าง ศีล 227ข้อซึ่งเป็นการบำเพ็ญบุญเรื่องศีลระดับสูง ยิ่งบำเพ็ญเพียรได้มากข้อก็ยิ่งระงับโทษทางกายและวาจาที่เป็น “กิเลสหยาบ” ได้มากขึ้นเท่านั้นและได้บุญมากกว่าการให้ทานตามลำดับ
การให้อภัยทานแม้จะมากเป็นร้อยๆ ครั้งก็ได้บุญน้อยกว่าการถือศีล 5 แม้จะเพียงแค่วันเดียวก็ตามส่วนการถือศีล 5 ให้นานเป็นร้อยปีก็ได้บุญน้อยกว่าการถือศีล 8 เพียง 1 วัน ศีล 8 แม้ถือได้ 100 ปีก็ไม่อาจเทียบได้กับการถือศีล 10 เพียง 1 วันอันเป็นศีลของนักบวชอย่างสามเณร
การได้บวชเป็นสามเณรแม้บวชไปร้อยปีก็ไม่อาจได้บุญเท่ากับการถือศีล 227 ข้ออันเป็นปาติโมกข์สังวรศีลซึ่งเป็นศีลสูงของพระภิกษุแม้ว่าจะบวชได้เพียงวันเดียวก็ตาม ฉะนั้นในฝ่ายของความมีศีลแล้ว การได้อุปสมบทเป็นพระในพระพุทธศาสนาจึงได้บุญมาก เป็นการบำเพ็ญเพียรถึงความอดทนทั้งกายและวาจา ให้บริสุทธิ์เพื่อเป็นพื้นฐานนำไปสู่การปฏิบัติธรรมขั้นสูงสุดคือการเจริญภาวนา เพื่อเข้าสู่มรรคผลนิพพานต่อไป
คนที่ร่ำรวยมหาศาลนั้นนอกจากจะเกิดมามีความสุขสบายมากๆ เพราะเหตุแห่งทานในภพชาติก่อนแล้วยังเป็นเพราะมีกำลังแห่งศีลคอยสนับสนุนอยู่ในตัวอีกต่างหาก โดยการที่ได้ทำบุญสะสมเอาไว้มากๆ นั้นอานิสงส์จะทำให้ไปจุติยังเทวโลก หรือโลกสวรรค์ เมื่อหมดบุญแล้วด้วยเศษบุญที่เหลือก็จะน้อมนำให้มาเกิดเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติ 4 ประการ คือ มีอายุยืน มีวรรณะที่สูง เกิดในตระกูลที่ร่ำรวย มีความสุข มีพลังกายที่จะทำบุญและประโยชน์เพื่อคนอื่นต่อไปได้อีกมาก
ด้วยผลแห่งอานิสงส์แม้เพียงการรักษาเพียงแค่ “ศีล 5” ก็จะมีอานิสงส์มหาศาลดังต่อไปนี้
- ผู้ที่รักษาศีลข้อ 1 ได้เป็นประจำคือไม่เบียดเบียนชีวิตใคร ด้วยเศษบุญที่รักษาศีลข้อนี้จะทำให้ได้เกิดเป็นมนุษย์ มีสุขภาพอนามัยแข็งแรง อายุยืนไม่ขี้โรคไม่มีอะไรมาเบียดเบียน ไม่มีศัตรูหรืออุบัติเหตุที่จะทำให้ร่างกายบาดเจ็บหรือพิการได้หรือไม่ต้องสิ้นอายุก่อนวัยอันควร
- ผู้ที่รักษาศีล ข้อ 2 ได้เป็นประจำคือไม่ถือเอาทรัพย์ของผู้อื่นที่เจ้าของไม่เต็มใจให้ ด้วยเศษบุญที่รักษาศีลในข้อนี้จะทำให้ได้เกิดเป็นมนุษย์และเกิดในตระกูลที่ร่ำรวย การทำมาหากินเลี้ยงชีพก็มักจะประสบช่องทางที่ดี ทำมาค้าขึ้นและเป็นคนมั่งมี ไม่มีโอกาสที่ทรัพย์จะหายหรือประสบภัยพิบัติต่างๆ ทั้งภัยจากคนอย่าง โจรผู้ร้าย หรือภัยธรรมชาติ
- ผู้ที่รักษาศีล ข้อ 3 ด้วยการไม่ละเมิดในคู่ครองคนอื่นหรือคนในปกครองของผู้อื่น ด้วยเศษบุญนี้ก็จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ได้ประสบความโชคดีในความรัก หรือมีรักแท้ที่จริงใจไม่ต้องอกหักหรือผิดหวัง เมื่อมีบุตรหลาน ลูกหลานก็เป็นคนที่ว่านอนสอนง่ายรวมไปถึงลูกหลานก็จะปลอดภัยไม่ถูกหลอกลวงฉุดคร่าอนาจาร หรือไม่มีความผิดปกติเป็นคนผิดเพศ ภายหน้าลูกหลานก็จะนำชื่อเสียงเกียรติยศมาสู่วงศ์ตระกูลอีกด้วย
- ผู้ที่รักษาศีลข้อ 4 ด้วยการไม่กล่าวคำเท็จ รวมไปถึงคำหยาบคาย คำพูดเสียดสี หรือคำพูดที่เพ้อเจ้อไร้สาระด้วยเศษบุญนั้นจะทำให้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีน้ำเสียงและวาจาไพเราะ พูดจามีความน่าเชื่อถือชวนฟัง มีปฏิภานไหวพริบในการเจรจา จะพูดอะไรก็มีแต่คนเชื่อถือ ด้วยอานิสงส์นี้ก็จะทำให้เกิดความง่ายในการสั่งสอนลูกหลานและลูกศิษย์ให้อยู่ในโอวาทอันดีงามได้เป็นอย่างดี
- ผู้ที่รักษาศีลข้อที่ 5 ด้วยการไม่ดื่มสุรา รวมไปถึงของหมักดองที่ทำให้มึนเมาทุกชนิด ด้วยเศษบุญของการรักษาศีลในข้อนี้ จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่มีสมอง ประสาท ปัญญา มีความคิดที่แจ่มใส ไม่ว่าจะศึกษาเล่าเรียนอะไรก็มีความแตกฉานในสิ่งที่เรียน จดจำเก่งจำได้ง่าย ไม่มีสติฟั่นเฟือน วิกลจริตไม่เป็นโรคสมองฝ่อหรือโรคประสาท ตลอดจนอาการพิการทางสมองอย่าง ปัญญาอ่อน ดาวน์ซินโดรม ฯลฯ
เพียงแค่อานิสงส์การรักษาศีลให้ครบ 5 ข้อยังมีมากมายถึงเพียงนี้ หากได้รักษาศีล 8 ศีล 10 และศีล 227 ข้อได้ก็ย่อมมีอานิสงส์เพิ่มพูนได้มากยิ่งขึ้นตามลำดับและประเภทของศีลที่ได้ให้การรักษานั้นๆ แต่ทว่าแม้จะรักษาศีลได้ถึงระดับสูงอย่างศีล 227 ข้อก็ยังเป็นเพียงหลักการสร้างบุญในระดับกลางๆ เท่านั้นเอง
การที่ศีลเป็นการสร้างบุญได้ในระดับกลางก็เพราะว่า เป็นการปฏิบัติตามระเบียบกติกาที่จะทำการรักษากายและคำพูดให้เป็นปกติและสงบเสงี่ยมเท่านั้น แต่ในด้านจิตใจไม่มีศีลข้อไหนไปบังคับใจให้คิดผิดไปจากทำนองคลองธรรม
สิ่งที่จะรักษาจิตให้สะอาดได้และซักฟอกจิตให้สะอาดเบาบางจากกิเลส จนกระทั่งหมดไปในที่สุดคือการเจริญภาวนา เพราะเมื่อจิตหมดกิเลสแล้วก็ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอีก หรือถ้ายังไม่หมดก็จะได้ไปสู่ในภพที่สูงกว่ามนุษย์ คือได้เป็นเทวดาเสวยสุขต่อไป
ใส่ความเห็น